
ซึ่งในวันนี้ผมจะนำความหมายของเสียงร้องเหล่านั้นมาอธิบายให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ โดยแบ่งตามยี่ห้อของ Bios (ท่านสามารถตรวจยี่ห้อของ Bios ได้โดยเปิดดูในคู่มือใช้งาน)





แฟลชไดร์ฟเเบบอื่นๆ
เดี๋ยวนี้หน่วยความจําพกพาไม่ได้มีเฉพาะเเบบเเท่งๆ อีกต่อไปเเล้ว ผู้ผลิตหลายๆ เจ้าได้พัฒนาแฟลชไดร์ฟธรรมดาๆ ให้เป็นรูปร่างต่างๆ น่ารักๆ อย่างเช่น แฮมเบอร์เกอร์, หัวใจ, นกเพนกวิน ซึ่งจะใช้เป็นพวงกุญเเจ หรือจะซื้อมาตั้งโชว์ก็ถือว่าโอเคเลยล่ะ
ส่วนอีกเเบบที่เป็นที่นิยมไม่เเพ้ก็คือ MP3 ในตัว บางเเบรนด์ทํา MP3 ออกมาให้ USB อยู่ที่ตัวเครื่องเลย ทําให้ผู้ใช้สามารถใช้งานถ่ายโอนข้อมูล เเละใช้ฟังเพลง MP3 ได้ด้วย สะดวกทีเดียวครับ เเต่ความจุจะไม่มากนัก ประมาณ 2GB ก็เฉียดๆ 2 พันบาทละครับ
ไม่เอาแฟลชไดร์ฟ เเล้วจะเลือกอะไรดี
หากคุณต้องการที่จะเก็บข้อมูลต่างๆ เป็นจํานวนมาก เเต่แฟลชไดร์ฟความจุตั้งเเต่ 32GB ขึ้นไปยัง ราคาสูงอยู่ ดังนั้น จึงมีทางเลือกอื่นๆ ให้เลือกครับคือ Potable HDD. หรือฮาร์ดดิสก์เบบพกพา ขนาดเเม้จะใหญ่กว่ามากพอสมควร เเต่ก็พกพาได้ เเละใช้การเชื่อมต่อด้วย USB เช่นเดียวกัน ข้อดีคือ ขนาดความจุสูง เเละราคาไม่เเพงมากนัก อย่าง 160GB ราคาไม่ถึง 2000 บาท เท่านั้นเอง ถูกกว่า แฟลชไดร์ฟความจุเดียวกันหลายเท่าเลยล่ะครับ
จําเป็นมั้ย ที่ต้องซื้อแฟลชไดร์ฟ
จะถามว่า อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ นี้จําเป็นสําหรับชีวิตประจําวันหรือไม่ ? ถ้าคุณทํางาน เรียนหนังสือ ใช้งาน คอมพิวเตอร์บ่อยๆ เเน่นอนว่า ควรจะต้องซื้อเอามาใช้เก็บข้อมูลต่างๆ ที่จําเป็น เเต่ถ้าไม่ค่อยได้เเตะคอม เเล้วล่ะก็ อาจจะไม่ต้องซื้อก็ได้ครับ
ส่วนขนาดการใช้งาน ความจุที่เหมาะสมในการใช้งานส่วนใหญ่จะอยู่ราวๆ 1-4GB ซึ่งเพียงพอกับการ เก็บข้อมูลทั่วๆ ไปอย่างเช่น เอกสารต่างๆ, รูปภาพ, เพลง, หนัง, ฯลฯ ถ้าเกินกว่านั้นจะค่อนข้าง เหมาะกับกลุ่มที่ใช้งานหนักๆ มากกว่า อย่างเช่น ห้างร้านบริษัทที่ต้องเก็บข้อมูลไว้เยอะๆ หรือผู้ใช้ที่ชอบเก็บ สื่อคุณภาพสูงๆ
ท้ายที่สุด เราก็คงจะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับแฟลชไดร์ฟไปไม่มากก็น้อยนะครับ เช่นเดียวกับสินค้าไอที อื่นๆ คือ ก่อนซื้อต้องหาข้อมูลให้พร้อม ทั้งราคา รุ่น เเหล่งซื้อ เเละควรเช็คของให้ดีๆ อย่าประมาทจ้า ..
MAIN MEMORY - หน่วยความจำหลัก
แรมหรือหน่วยความจำหลักนั้นมีหน้าที่ในการเก็บและพักข้อมูลที่รอการประมวลผล หรือทำการประมวลผลเสร็จแล้ว เพื่อนำไปใช้ในการแสดงผลของข้อมูล และยังสามารถที่จะทำการเก็บข้อมูล หรือคำสั่งที่ถูกเรียกใช้บ่อยๆ เพื่อให้การทำงานของระบบรวดเร็วขึ้น ซึ่งขนาดความจุของแรมนั้นจะส่งผลต่อความรวดเร็วการใช้งานได้ชัดเจนที่สุด แนวโน้มในปัจจุบันนั้นไม่ว่าจะเป็นเกม หรือโปรแกรมต่างๆ นั้นก็ต่างต้องการบริโภคปริมาณแรมที่สูงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทางด้านเกมที่นับวันเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ที่สมจริงมากยิ่งขึ้น บวกกับขนาดของจอภาพที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นทำให้เราจำเป็นต้องปรับความละเอียดของเกมให้สูงขึ้นตามขนาดของจอที่ใหญ่เพิ่มขึ้นไปด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลให้ระบบ
ต้องการใช้แรมปริมาณมากยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว
512MB ดูท่าว่าจะพอเพียงสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows XP บวกการใช้งานกับโปรแกรมต่างๆ ได้เพียง 2 – 3 โปรแกรมพร้อมกันเท่านั้น ถ้ามากกว่านี้อาจพบกับอาการหน่วงหรือเครื่องทำงานช้าลงอย่างชัดเจน ยิ่งถ้าเป็นระบบปฏิบัติการ Windows Vista ที่เขมือบแรมไปตั้งแต่เปิดเครื่องใหม่ๆ ถึงประมาณ 550MB ถ้าเป็นการเล่นเกมด้วยยิ่งหมดสิทธิ์สำหรับความจุในระดับนี้เพราะกระตุกเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ
1GB ความจุในระดับนี้ควรจะเป็นขนาดมาตรฐานสำหรับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน เพราะความจุนี้เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปๆ ได้อย่างเพียงพอไม่ว่าจะเป็นการชมภาพยนตร์ความละเอียดสูง ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ต คุย MSN ก็สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล แต่ถ้าพูดถึงการเล่นเกมความจุขนาดนี้ถือว่ายังสามารถเล่นได้อยู่ในระดับดีถ้าไม่ตั้งความละเอียดของภาพและกราฟิกต่างๆ สูงมากนัก เช่น 1024x768 Medium Setting
2GB ปัจจุบันความจุนี้เรียกได้ว่าเป็นความจุแนะนำเลยทีเดียว ถ้ายิ่งเป็นสเป็กคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมฮาร์ดคอร์ด้วยยิ่งเหมาะอย่างยิ่ง เพราะอย่าง Cry
sis เล่นที่ Very High 1280x1024 บน Windows XP ก็ซัดแรมไปกว่า 1.3GB แล้ว ส่วนเกมใหม่ๆ อย่างเช่น Call of Duty 4 หรือ Gears of War ที่เล่นบนความละเอียดสูงบวกกับตั้งค่ากราฟิกแบบสุดๆ ก็กินแรมไปมากกว่า 1GB ขึ้นไปแล้วทั้งนั้น ส่วมแรมขนาด 4GB ปัจจุบันยังไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควรเพราะว่าติดปัญหาอยู่ที่ระบบปฏิบัติการ 32-bits จะมองเห็นแรมได้สูงสุดเพียงประมาณ 3GB เท่านั้นซึ่งถ้าจะให้มองเห็นมากกว่านั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบปฏิบัติการ 64-bits แทน แต่ว่าระบบปฏิบัติการ 64-bits ก็ยังติดปัญหาอยู่ตรงที่ไม่มีโปรแกรมที่ออกมารองรับการทำงานแบบ 64-bits มากนักจึงยังไม่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
VIDEO MEMORY- หน่วยความจำบนการ์ดจอ
หน่วยความจำที่อยู่บนกราฟิกการ์ดนั้นจะทำหน้าที่เก็บและพักข้อมูลเหมือนกันกับแรมในระบบ แต่จะต่างกันที่เป็นข้อมูลที่เป็นส่วนประกอบของรูปภาพที่จะนำมาแสดงบนหน้าจอ โดยข้อมูลนั้นจะเป็นข้อมูลที่ได้จากตัว GPU หรือชิพกราฟิกนั่นเอง โดยข้อมูลส่วนใหญ่ที่นำมาเก็บบนหน่วยความจำกราฟิกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลที่เป็นส่วนประกอบของพื้นผิวของภาพ (Texture) เป็นส่วนใหญ่และยิ่งเกมในสมัยนี้มีการนำเอฟเฟ็กต์อย่าง Parallax Mapping มาใช้ทำให้เท็กซ์เจอร์ต่างๆ ดูมีมิติตื้นลึกที่สวยงามมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเท็กซ์เจอร์ที่นำมาใช้กับเกมในปัจจุบันก็เป็นแบบความละเอียดสูง ยิ่งทำให้ต้องพื้นที่ในการพักข้อมูลในเมมโมรีมากขึ้นด้วย อีกตัวแปรที่มีผลต่อหน่วยความจำของการ์ดจอก็คือระบบ Anti-aliasing (AA) ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ภาพที่ออกมามีความเนียนมากขึ้นหรือมีรอยหยักน้อยลงนั่นเอง โดยทั่วไปแล้วการทำ AA จะแยกเป็นระดับต่างๆ คือ 2x, 4x, 8x, 16x แต่ว่าการตั้งค่าที่มากขึ้นนั้นหมายถึงความต้องการใช้เมมโมรีมากขึ้นด้วย ดังนั้นกราฟิกการ์ดที่มีหน่วยความจำสูงๆ จะสามารถที่จะทำการ Render หรือแสดงภาพในเกมได้อย่างต่อเนื่อง และรวดเร็วกว่ากราฟิกการ์ดที่มีหน่วยความจำน้อยๆ แต่ปัญหาก็คือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าการ์ดจอของเรามีหน่วยความจำมากพอหรือเปล่าไปดูกันครับ
256MB เป็นขนาดขั้นพื้นฐานของแรมของการ์ดจอไปแล้วในปัจจุบัน ซึ่งการ์ดจอที่มีแรมขนาดนี้เราแนะนำว่าเมื่อนำมาเล่นเกมไม่ควรใช้ความละเอียดของจอมากกว่า 1024x768 และการตั้งค่ากราฟิกทั้งหลายไม่ควรสูงสุดทั้งหมด ควรจะเป็นค่ากลางๆ จะดีที่สุด ส่วนระบบ AA ไม่ต้องยุ่งกับมันจะดีกว่ากับความจุนี้ เพราะมันจะทำให้ดึงเฟรมเรตลงไปมากทีเดียว
512MB ถ้าพูดถึงการเล่นเกมทั้งในปัจจุบันและอนาคต ความจุขนาดนี้นับว่าเหมาะสมอย่างมาก สามารถเปิดเอฟเฟ็กต์ในเกมได้สูงสุดทั้งหมดได้ ความละเอียดสามารถไปได้ถึง 1280x1024 4x AA แบบสบายๆ แต่ถ้าอยากเล่นที่ความละเอียดมากกว่านี้ก็ย่อมได้แต่ต้องลดค่า AA ลงบ้างเพื่อดึงค่าเฟรมเรตให้สูงขึ้น
768MB, 1GB ความจุสูงขนาดนี้จะพบได้ในการ์ดรุ่นสูงๆ อย่าง Geforce 8800GTX, Radeon HD2900XT ซึ่งความจุระดับสามารถเล่นเกมได้ในความละเอียดสูงในระดับ HD พร้อมทั้งเปิด AA ได้แบบลื่นๆ แน่นอน
แต่เรื่องของความจุแรม ไม่สามารถเป็นตัวตัดสินได้ทั้งหมดว่าการ์ดตัวนี้แรงหรือไม่ ต้องดูส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรุ่น ความเร็ว ความกว้างของ Bits ประกอบกันด้วย สุดท้ายนี้ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ครับ
จำนวนปลั๊กไฟฟ้า
ปลั๊กต่างๆ ถือว่ามีความสำคัญค่อนข้างมากในการเลือกซื้อ UPS ในปัจจุบัน ยิ่งจำนวนปลั๊กเชื่อมต่อของ UPS มีมากเท่าไร ก็สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกมากขึ้นเท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์เชื่อมต่อทั้งหลายจะมีความปลอดภัยมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ UPS ตามท้องตลาดของบ้านเรานั้นได้มีการเพิ่มปลั๊กสำหรับเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับปริ๊นเตอร์เลเซอร์กันมากขึ้น เพราะว่าราคาของปริ๊นเตอร์เลเซอร์นั้นมีราคาที่สูง ข้อเสียของปลั๊กนี้ก็คือไม่สามารถที่จะสำรองไฟไว้ได้
นอกจากพอร์ตที่ได้บอกมานี้ ยังมีช่องอีกชนิดหนึ่งที่คนให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเหมือนกันคือ ช่องสำหรับเสียบสายโทรศัพท์หรือสำหรับโมเด็ม เพราะพอร์ตเหล่านี้สามารถที่จะป้องกันความเสียหายจากกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ผ่านเข้ามาทางสายโทรศัพท์ได้ (เช่น กรณีฟ้าผ่า) ทำให้ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ดังกล่าวได้อีกขั้นหนึ่ง
คุณสมบัติพิเศษอื่นๆ
- สิ่งที่จะทำให้ผู้บริโภคเห็นว่า UPS นี้มีคุณภาพนั้นก็คือ มาตรฐานของ UPS ที่ UPS นี้ได้รับ เช่น มาตรฐาน ISO 9001 หรือมาตรฐาน มอก. เป็นต้น
- แบตเตอรี่ซึ่งจริงๆ แล้วเมื่อท่านซื้อ UPS มาก็จะมีแบตเตอรี่อยู่ภายใน UPS นั้นแล้ว แต่เมื่อแบตเตอรี่เกิดเสื่อมขึ้นมา จึงจำเป็นต้องหา UPS ใหม่มาทดแทน ดังนั้นควรจะเลือกแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพ เพราะจะทำให้มีคุณภาพในการสำรองไฟเพิ่มมากขึ้น และมีอายุการใช้งานเพิ่มมากขึ้น
- ฟังก์ชั่นพิเศษ UPS ที่ดีนั้นควรจะต้องมีไฟแสดงสถานะการทำงานของเครื่องเพื่อที่จะทำให้ทราบว่าตอนนี้เครื่องอยู่ในสถานะใด อีกทั้งยังทำให้สามารถสังเกตเห็นสถานะการทำงานได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ UPS ที่ดีควรต้องมีเสียงเตือนเมื่ออยู่ในสภาวะอันตราย เช่น มีเสียงเตือนว่าไฟในแบตเตอรี่กำลังจะหมด เพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถได้ยินได้อย่างชัดเจนและสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน
- รูปทรงและขนาดของ UPS ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ควรเลือก UPS ที่มีขนาดและรูปทรงที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ และต้องดูว่าสถานที่ที่ท่านจะนำ UPS นี้ไปใช้มีขนาดของพื้นที่มากน้อยเท่าไรด้วย เพื่อที่จะได้มี UPS ที่มีขนาดที่เหมาะสมไว้ใช้งานกัน
สรุป
สิ่งที่ได้บอกมาในข้างต้นนั้นเป็นสิ่งที่ UPS ที่ดีควรจะมี เพราะเป็นสิ่งที่จะเพิ่มความปลอดภัยให้พีซีตัวโปรดของคุณให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น ปลอดภัยจากสถานการณ์เฉียดตายต่างๆ ได้อย่างที่คุณต้องการ แต่ตามหลักความจริงแล้ว UPS ทุกเครื่องคงจะไม่มีเครื่องไหนที่มันสมบูรณ์แบบไปหมดหรอกครับ อาจจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ขาดไปบ้าง อันนี้ก็อยู่ที่คุณแล้วครับ ว่าจะตัดสินใจเลือกเครื่อง UPS แบบไหนไว้ใช้งาน ที่จะทำให้เกิดความคุ้มค่าและความปลอดภัยมากที่สุดนั่นเอง
ที่มา http://www.i3.in.th/news/view/44