วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Firefox 3.6 RC1 ออกแล้วคราบ ...แรงดีทีเดียว


หากเป็นนักท่องอินเทอร์เน็ตตัวจริง ก็คงน่าที่จะรู้จัก Firefox กันเป็นอย่างดี ผมก้คนหนึ่งล่ะครับที่ใช้มันอยู่ และใช้มันมาตั้งนานแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่ามันรู้สึกได้ว่าเร็วกว่าใช้ Internet Explorer และเจ้า Firefox ยังมีการอัปเดทเวอร์ชันใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงล่าสุดกับเวอร์ชัน 3.6 RC1 ที่หลายๆ คนรอคอยอยู่เพราะมันติดโรคเลื่อนมาโดยตลอด กำหนดการจริงๆ ของเจ้า Firefox 3.6 RC1 มันควรจะมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วนั่นล่ะครับ ในที่สุดวันนี้มันก็แล้วจนได้

เมื่อมันออกมาให้ดาวน์โหลดไปใช้งานกัน ก็มีคนจับมันไปเบนซืมาร์ค ทดสอบประสิทธิภาพร่วมกับบราวเซอร์ตัวอื่นอย่างรวดเร็ว โดยครั้งนี้เค้าได้นำบราวเซอรืยอดนิยมมาทดสอบรวมกันประกอบไปด้วย Firefox 3.5.7, Google Chrome beta 4.0.249.64, Safari 4.0.4, Internet Explorer 8 และ Firefox 3.6 RC1. พระเอกของงานที่ทำให้มีกาทดสอบนี้เกิดขึ้น

การทดสอบครั้งนี้ใช้เบนซืมาร์คเป็นตัว Futuremark’s Peacekeeper ซึ่งเป็นโปรแกรมเบนซ์มาร์คออนไลนืสำหรับเวบบราวเซอร์โดยเฉพาะ ส่วนสเปกที่ใช้ทดสอบก็แรงเอาเรื่องเลยครับ ใช้เป็นซีพียู Core i7 Extreme 965 บนเมนบอร์ด EVGA X58 SLI Classified E759 พร้อมด้วย DDR3 1600MHz ขนาด 6GB บน Windows 7 Ultimate x64.

ผลการทดสอบครั้งนี้ผู้คว้าชัยชนะไปครองได้แก่ Apple’s Safari browser กับคะแนน 5401 แต้ม ตามมาด้วยพระเอกของงาน Firefox 3.6 RC1 กับผลคะแนน 4352 แต้ม ตามมาด้วย Google Chrome ที่ 3772 แต้ม และสุดท้ายตกเป็นของ Internet Explorer 8 กับคะแนนเพียง 1409 คะแนนเท่านั้น

ถึงเจ้า Firefox 3.6 RC1 จะไม่ได้ที่หนึ่งมาครองก็ตาม แต่กับปลงานที่ทำออกมาอันดับ 2 นี้ก็ถือยอดเยี่ยมทีเดียวครับ สำหรับใครที่ไม่เคยใช้ Firefox เลย ก็ไปดาวน์โหลดมาลองใช้กันได้ตาม link ด้านล่างนี้ได้เลยครับ ลองใช้กันดูแล้วอาจจะติดใจไม่กลับไปใช้ IE อีกแบบผมก็ได้นะ

en-us.www.mozilla.com/en-US/firefox/all-rc.html

ที่มา : fudzilla

เผยแพลนใหม่ Symbian ภาค 4 หน้าตาเป็นยังไง ?


ตามแผนของโนเกียที่จะ "ยกเครื่องซิมเบี้ยนใหม่" ในปีนี้ Symbian^3 จะมาในช่วงกลางปี แต่เรายังไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริงของมันซะที (แม้แต่รุ่นใหม่ที่จะเริ่มใช้ซิมเบี้ยนภาคใหม่ก็ยังไม่มีข้อมูลหลุดออกมา) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ทีมพัฒนาซิมเบี้ยนได้เผยคอนเซปของ Symbian^4 ที่มีแผนพัฒนาเสร็จทันปลายปีนี้ และรุ่นใหม่ที่จะใช้ Symbian^4 จะเปิดตัวในต้นปีหน้านี้

ซอฟท์แวร์รุ่นใหม่พัฒนาบน QT ครับ เปลี่ยนรูปแบบอินเตอร์เฟสชนิดว่าจากหลังมือเป็นหน้ามือกันเลย โดยหน้าจอ HomeScreen สามารถลากวิตเจทมาเสริมได้หลากหลาย, รองรับเมนูลัดสําหรับเข้าหน้าอื่นๆ รวมถึง เมนูรูปภาพ 4 แบบด้านล่าง และอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ที่เห็นนี้ยังเป็นคอนเซปเฉยๆ ไม่ใช่หน้าตาของจริงแต่อย่างใด

ขณะนี้ทีมพัฒนากําลังเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจ "แสดงความคิดเห็น" เกี่ยวกับหน้าตา Symbian^4 ที่ควรจะเป็น ตอนนี้เรามานั่งลุ้น ซิมเบี้ยนภาค 3 กันดีกว่าว่าจะดีเลิศประเสริฐศรีกว่ของเดิมขนาดไหนกัน :D

ที่มา : Unwiredview

Ovi Maps ใช้ฟรีตลอดชีพ โหลดได้แล้ววันนี้ !

เอาล่ะทีนี้ หลังจากที่โนเกียแบมือกินค่า License นําทางจากผู้ใช้มานมนาน (ในไทยก็ตกปีละ 2 พันกว่าบาท) แต่ตอนนี้ผู้ใช้มือถือโนเกีย (บางรุ่น) ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่าย หรือหันหน้าไปพึ่งโปรแกรมแบบยังงั้นอีกแล้ว เพราะโนเกียใจปํ้า ให้ใช้ "Ovi Maps" ฟรีตลอดชีพกันไปเลย

ขั้นตอนที่จะใช้ของฟรีได้นั้น ไม่ยากครับ เพียงแค่คุณมีมือถือโนเกีย รุ่นต่างๆ ดังต่อไปนี้ (ทุกรุ่นรองรับระบบ GPS ในตัวทั้งหมด)

* Nokia X6 (ยังไม่วางขายในไทย)
* Nokia N97 Mini
* Nokia E72
* Nokia E55 (ไม่มีในไทย)
* Nokia E52
* Nokia 6730 classic
* Nokia 6710 Navigator
* Nokia 5800 XpressMusic
* Nokia 5800 Navigation Edition (ไม่มีในไทย)
* Nokia 5230

โดย Ovi Maps ที่โหลดมานั้น สามารถการใช้งาน Navigation ทั้งการเดิน, ขับรถ และนําทางด้วยเสียงฟรี รองรับแผนที่ 180 ประเทศ, นําทางด้วยเสียงใน 74 ประเทศ 46 ภาษา และข้อมูลการจราจรใน 10+ ประเทศ นอกนนี้ยังมีคู่มือการท่องเที่ยวออนไลน์ให้ดูอีกด้วย

ส่วน Nokia N97 จะสามารถใช้งาน Ovi Maps ฟรีได้ปลายเดือนนี้ แต่ N900 ยังไม่สามารถใช้งานได้ในช่วงนี้ครับ (ต้องรอเค้าพัฒนากันต่อ หุหุ) และมือถือรุ่นดังกล่าวที่รองรับ Ovi Maps ฟรี จะเริ่มลงซอฟท์แวร์มาให้ในชุดขายตั้งแต่ล๊อตเดือนมีนาคมเป็นต้นไปครับ

ที่มา : Unwiredview

Vita ? หรือว่าจะเป็น OS ใหม่ของซัมซุง

ที่ผ่านมา ซัมซุงได้เปิดตัว OS ใหม่อย่าง "Bada" ไปเรียบร้อยแล้ว แถมเริ่มเผยข้อมูลรุ่นใหม่ที่จะใช้ระบบปฏิบัติการนี้ด้วย (S8200 แต่ยังไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง) แต่ชื่อ "Bada" อาจจะไม่ใช่ชื่อสุดท้ายที่ซัมซุงจะให้เป็นชื่อ OS ครับ เพราะมีข้อมูลหลุดออกมาว่า ค่ายมือถือสัญชาติเกาหลีได้จดทะเบียนชื่อ "Vita" เอาไว้ด้วย

จากไฟล์ข้อมูลของสํานักงานสิทธิบัตร-เครื่องหมายการค้าของสหรัฐ พบว่าซัมซุงได้จดทะเบียนชื่อ OS ไว้เพิ่มเติมอีก 1 ชื่อคือ "Vita" ซึ่งจดทะเบียนเพิ่มหลังจาก "Bada" แค่วันเดียวเท่านั้น โดยจุดประสงค์หลักๆ ของการจดชื่อ Vita คือ "ใช้สําหรับซอฟท์แวร์หรือ OS ที่ลงกับมือถือ" ดังนั้น "Vita" น่าจะเป็นชื่อ OS อย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นไปได้ว่ามันน่าจะเป็นชื่อ OS สํารองในกรณีที่ Bada เกิดมีปัญหาขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าซัมซุงจดชื่อนี้มาเพื่ออะไรกันแน่ครับ

แรงไม่เลิกไปกับ Corsair Dominator GTX Ram DDR3 ที่เร็วที่สุดในโลก

เอาอีกแล้วครับท่านกับผู้ผลิตแรมเทพในตำนานอย่าง Corsair ได้ประกาศเปิดตัวแรมเทพ Corsair Dominator GTX ที่มีความเร็วสูงถึง 2333MHz (O_o เร็วเวอร์ๆ)สำหรับการ Overclock แบบสุดๆกันไปเลย

แรม 1 ชุดมี 2 แผง โดยแต่ละแผงจะมีขนาด 2 Gb และขนาด 1 Gb ต่อ 1 แผง (แน่นอนว่า i7 หมดสิทธิ์) แต่ละแผงมีการใช้เทคโนโลยี Heat Sink DHX+ Technology ที่ทาง Corsair ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการระบายความร้อนเนื่องจากการ Overclock

เจ้าแรมตัวนี้ มันได้ถูกทดสอบการใช้งานกับ Chipset P55 ของ intel ที่ความเร็ว 2333Mhz Timings 9-11-9-27 โดยใช้ไฟเลี้ยงเพียง 1.65V ซึ่งแน่นอนว่าได้ผ่านรับการรับรองจาก XMP อย่างสบาย

และยิ่งไปกว่านั้นทาง Corsair เองได้ออกมาการันตีว่า มันยังสามารถ Overclock ได้เพิ่มขึ้นถึงความเร็ว 2400Mhz Timings 9-11-9-27 โดยใช้ไฟเลี้ยงเพียง 1.65V เท่านั้น และมันยังสามารถใช้กับ GT Airflow fan ได้อีกด้วย (วู้วว สะใจขาโหด)

สนนราคาค่าตัวค่าตัวแบบ 1Gb x 2 อยู่ที่ $200.00 (ประมาณ 7000 บาทไทย) สามารถหาซื้อได้ที่ Corsair Shop นะครับ

95% ของอีเมล์ส่วนใหญ่เป็น สแปม ..สแปม และสแปม

ENISA (เป็นหน่วยงานเกี่ยวกับความปลอดภัยทาง Network ในยุโรป) ได้เผยข้อมูลจากการสํารวจเหล่าผู้ให้บริการที่แตกต่างกัน 100 รายใน 30 ประเทศ รวมทั้งในสหภาพยุโรป 26 ประเทศ เกี่ยวกับการจัดการสแปมของผู้ให้บริการอีเมล์เหล่านี้ว่า เค้ามีวิธีจัดการอีเมล์ขยะนี้อย่างไร และจัดการยังไง และนี่คือข้อมูลจากการสํารวจดังกล่าวครับ

- อีเมล์น้อยกว่า 5% ที่ถูกส่งเข้ากล่องจดหมาย (Mailbox) ที่เหลือราวๆ 95% เป็นเมล์สแปมทั้งสิ้น ถือว่าเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อเทียบกับการสํารวจครั้งก่อน
- 70% ของผู้ให้บริการ ให้ความสําคัญกับสแปมมาก ถึงมากที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของระบบความปลอดภัย
- 25% ของผู้ให้บริการรายย่อย ต้องเจียดเงินจ่ายไปกับระบบ Anti-Spam มากกว่าปีละ 10000 ยูโร
- และ 1 ใน 3 ของผู้ให้บริการรายใหญ่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับระบบ Anti-Spam มากกว่า 1 ล้านยูโร !!
- วิธีการป้องกันสแปมมีหลายวิธี แต่ส่วนใหญ่มักใช้วิธี Blacklist เพื่อป้องกันสแปม

จะลองอ่านรายงานการสํารวจเต็มๆ โหลดได้ที่นี่ครับ ผมว่าพวก FW Mail จากเพื่อนๆ ก็เยอะไม่แพ้กับพวกยาลดนํ้าหนักเหมือนกันนะ :D

ที่มา : net-security, blognone

สถิติโลกใหม่กับความเร็วระดับ 8.199GHz


พึ่งจะได้มีการนำเสนอการทำ World record ผลคะแนน 3DMark Vantage ด้วยซีพียู Core i7-980X ไปไม่กี่วัน วันนี้มีสถิติโลกใหม่เกิดขึ้นอีกแล้วครับ

โดยคราวนี้การทำ World record ความเร็วสัญญาณนาฬิกาสูงสุดแทน โดยนักโอเวอร์คล็อกชื่อ TiN ทำการโอเวอร์คล็อกเพิ่มความเร็วของซีพียู Intel Celeron D 347ที่มีความเร็วเดิมๆ ที่ 3.06GHz ทะยานขึ้สู่งความเร็วระดับ 8.199GHz ไปได้และกลายเป็นสถิติโลกใหม่กันเลยทีเดียว เมนบอร์ดที่โอเวอร์คล็อกในครั้งนี้เป็น DFI Lanparty UT P35-T2R ที่ได้รับการโมดิฟายดืมาแบบสุดๆ พร้อมด้วยการแกะกระดองซีพียูออกไปด้วย เพื่อให้การระบายความร้อนนั้นดีขึ้น ร่วมกับการระบายความร้อนด้วยไนโตรเจนเหลว

งานนี้ไม่มีอะไรมาก นอกจากเอามันส์อย่างเดียวครับ เพราะประสิทธิภาพของซีพียูแท้จริงของวันนี้มันต้องวัดกันที่การประมวลผลแบบ Multi-threaded เป็นหลัก มิใช่ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาอีกต่อไปแล้ว

(ข่าวลือ) การ์ดจอโครตเทพตัวใหม่จาก ASUS !!!

หากยังพอจำกันได้เมื่อปีที่ผ่านมา ASUS ยักษ์ใหญ่ของวงการคอมพิวเตอร์ ได้ออกกราฟิกการ์ดรุ่นพิเศษ โครตเทพสุด ๆ ที่มีชื่อว่า "MAR" มาเขย่าวงการ โดยการ์ดรุ่นดังกล่าวนี้ใช้กราฟิกชิป GeForce GTX285 จำนวน 2 ชิป SLI กันมาบนการ์ดเรียบร้อย แล้วอัดความเร็วของกราฟิกชิปและหน่วยความจำมาแบบสุด อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ด้วยภาคจ่ายไฟบนตัวการ์ดที่สุดยอดนั่นเอง ซึ่งในเลานั้นมันคือกราฟิกการ์ดแบบ DualGPU ที่แรงสุดในโลก แถม ASUS ยังทำเก๋ด้วยการทำมันออกมาในแบบ Limited Edition ด้วยคือมีแค่ 1000 ตัวในโลกและแต่ละตัวก้จะมีหมายเลยกำกับไว้เป็นเป็นตัวที่เท่าไหร่ในทั้งหมด 1000 ตัว

มาปีนี้มีข่าวลืออกมาแล้วครับว่าเจ้ากราฟิกการ์ดโครตเทพเช่นนี้จะกลับมาอีกครั้ง แต่จะมาในชื่อใหม่ว่า "ARES" แทน กราฟิกชิปที่จะถูกปรับเปลี่ยนมาให้เข้ายุคเข้าสมัยมาเป็น Radeon HD 5970 ซึ่งเป็นกราฟิกชิปแบบ DualGPU ที่แรงสุดในเวลานี้ และแน่นอนงานนี้มันจะถูกเพิ่มความเร็วชิปกราฟิกและหน่วยความจำมาแบบสุดๆ เหมือนเคย จากเดิมๆ ทั่วไป 725/1000MHz มาอยู่ที่ 850/1200MHz ด้วยภาคจ่ายไฟบนการ์ดอันโครตสุดยอดเช่นเดิม ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของความแรงเลยครับ

ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไปว่าข่าวลือนี้จะเป็นจริงหรือไม่ ..... แต่ที่แน่ๆ ถ้ามันออกมาจริงราคาคงโครตแรงเหนือบบรรยายเช่นเดิม เพราะคราว ASUS MARS
ค่าตัวยัดซัดไปสี่หมื่นปลายเลย แพงกว่า GTX295 ทั่วไปอยู่เท่าตัว เห็นเทพๆ มีน้อยตัวอย่างนี้บ้านเราก็มีหลุดเข้ามาขายเหมือนกันนะครับ จะว่าไป

ที่มา : en.expreview

ทางการจีนกล่าว กูเกิ้ลยังเปิดตัวแอนดรอยด์ต่อไปได้

แม้ว่ากูเกิ้ลกับทางการจีนช่วงนี้จะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่หลังจาก "โดนถล่ม" ไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนแล้วทางการเหมือนจะไม่ค่อยไยดีด้วยสักเท่าไหร่ ล่าสุดกูเกิ้ลเองก็เลื่อนไม่เปิดตัวมือถือแอนดรอยด์จากซัมซุงกับโมโตสําหรับ China Unicom ไปอีก แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ทางการจีนได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องแอนดรอยด์แล้ว มาดูกันว่าเนื้อหารวมๆ นั้นเป็นอย่างไร

โฆษกของกระทรวง ICT ของจีนได้ออกมากล่าวว่า "จีนไม่ขัดขวางที่จะเอาระบบแอนดรอยด์มาใช้กับือถือแบรนด์ รุ่นต่างๆ ในประเทศ ตราบใดที่ไม่ผิดกฎหมายของจีน" แน่นอนว่าเป็นแถลงการณ์แรกของจีนที่เปิดเผยออกมาหลังจากกูเกิ้ลเมินที่จะร่วมบล๊อกเว็บกับจีน และจากท่าทีของจีนเกี่ยวกับเรื่องระบบแอนดรอยด์นี้ ก็น่าจะทําให้มือถือแอนดรอยด์จะเฟื่องฟูมากๆ ในจีนในอนาคต อย่างไรก็ตาม เรื่องกูเกิ้ลโดนโจมตี ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไงต่อไปครับ

Apple iPad แท้จริงใช้ชิป ARM


เมื่อวานหลายๆ เว็บคงได้ลงข่าวการเปิดตัว Apple iPad กันไปทั่วหน้า หลังจากที่คาดเดากันไปต่าง ๆ นา จากภาพหลุดและภาพที่จินตนาการกันขึ้นเองเสียยาย งานนี้ Apple ชิงเป็นผู้นำตลาดกันไปอีกแล้วกันกับ E-Reader ซึ่งมันคงกลายเป็นที่นิยมในอีกไม่ช้านี้แน่นอน
มาว่ากันต่อที่เจ้า Apple iPad ที่เปิดเผยตัวกันไปเมื่อวาน จากรูปและข่าวที่ออกมา เจ้านี้มันใช้ชิปประมวลผลหลักเป็น Apple A4 ซึ่งวันนี้ก็มีแหล่งข่าวยืนยันออกมาแล้วว่าแท้จริงแล้วเจ้าชิป Apple A4 นี้มันคือชิปที่ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับ ARM Cortex 8 นี่เอง หรือถ้าจะบอกว่าเจ้าชิป Apple A4 มันคือ ARM Cortex 8 ก็คงไม่ผิด แต่เป็นชิปแบบ Single-Core ครับ ทั้งนี้ทาง Apple ก็ยืนยันว่าชิปรุ่นนี้มีความสามารถที่เพียงพอแล้ว

หากใครที่ใช้ Smart Phone อย่าง Nexus One หรือ HTC HD2 ก็คงจะพอนึกภาพตามได้ครับ เพราะเจ้า Apple iPad มีพลังในการประมวลผลประมาณเดียวกันเลย หรือหากจะคิดเสียว่ามันคือ iPod touch จอใหญ่ก็ได้เหมือนกัน มันเร็วพอระดับหนึ่งที่รันแอลพลิเคนชันต่างๆ ได้อย่างสบาย แต่คงต้องเป็นทีละแอลพลิเคชันเท่านั้น หลายแอพอาจจะไม่ไหว
ด้านความสามารถในการรองรับข้อมูลที่เป็น HD ก็พวกหนัง Hi-Def นี่ล่ะครับ ทาง Apple แจ้งว่ามันจะทำงานได้เป็นอย่างที่ดีที่ระดับ 720P ในขณะที่ E-leader ที่จะใช้ชิปของ Intel นั้นจะมีชิปประมวลผลด้านนี้โดยเฉพาะใส่มาด้วยเป็นของ Broadcom ในการถอดรหัส ซึ่งมันรองรับได้ถึง 1080P แน่นอนครับ ในกรณีไม่รู้ Apple จะทำอย่างไร จะเอาไปใช้บ้างหรือเปล่านะ

ที่มา :Fudzilla

ปืนยุคไฮเทคจาก Armatix ยิงไม่ได้ถ้าไม่ใส่นาฬิก

ขึ้นชื่ออาวุธ ไม่ว่าจะชนิดเบาหรือชนิดหนัก มันย่อมมีความอันตรายอย่างแน่นอน แต่ในวันนี้ ค่ายผู้ผลิตปืนจากประเยอรมัน Armatix ได้เปิดตัวแนวคิดใหม่ที่ทำให้อาวุธปืนลดความอันตรายลงได้ หากไม่ใส่นาฬิกา !!?? แล้วมันยังไงนาฬิกามาเกี่ยวอะไรด้วยกับปืนที่สุดแสนอันตราย เมื่อผมได้ลองอ่านต่อไปจึงเริ่มเข้าใจว่า ที่แท้เจ้านาฬิกานี่หล่ะครับ คือกุญแจที่ทำให้ปืนรุ่นใหม่ที่ถูกติดตั้งเทคโนโลยี Electronic Safety ยิงได้ คราวนี้ปัญหาเด็กหยิบปืนของพ่อตัวเองไปยิงเล่นจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก

จากรูปทางด้านบนจะเห็นได้ว่าจะมีไฟ LED สีเขียวแสดงขึ้นมาที่ตัวปืนหากสวมใส่นาฬิกาแปลว่าพร้อมยิง!! และถ้าไฟ LED มีสีแดงก็แสดงว่าจะกดยิงยังไงๆกระสุนก็ไม่ออกมาแน่นอน ซึ่งความลับของเทคโนโลยี Electronic Safety ตัวนี้อยู่ที่สัญาณ Wireless จากตัวนาฬิกาที่ยิงตรงสู่ตัวรับสัญาณ Wireless ของปืนในรัศมีไม่เกิน 2-3 นิ้ว จึงจะทำให้ใช้งานได้ตามปกติ

สุดท้ายนี้ในส่วนของราคานั้น บอกได้คำเดียวว่าแพงเอาเรื่องเลยทีเดียว เพราะตอนนี้ทาง Armatix นั้นได้ผลิตปืนนิดนี้มาในรูปแบบ .22Cal Limited Edition ซึ่งมีจำนวนจำกัด โดยราคาของมันจะอยุ่ที่ประมาณ $10,000 หรือ 3 แสนกว่าบาท ถ้าหากเพื่อนท่านไหนสนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปรับชมได้ที่เว็ปไซต์หลักตามลิงค์ด้านล่างได้เลยครับ ( แต่เว็ปเค้าเป็นภาษาเยอรมันนะ - -" )

ที่มา http://www.armatix.de/Konzept.631.0.html



หลายๆคนอาจจะแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราถือ iPad ที่ญี่ปุ่น เนื่องจากที่ญี่ปุ่นนั้นมีแผ่นอนามัยสำหรับผู้สูงอายุที่ชื่อว่า "Aipad" ออกขายมาอย่างนมนานตั้งแต่ปี 2004 จึงทำให้กลายมาเป็นเรื่องขำขันของคนญี่ปุ่นที่บังเอิญทาง Appleได้ตั้งชื่อโปรดักส์ตัวใหม่ว่า "iPad" ซึ่งการออกเสียงละม้ายคล้ายคลึงกับคำว่า "Aipad" นั่นเอง

เรามาทำความรู้จัก Aipad กันสักหน่อย เจ้า Aipad นี้มีความพิเศษมากกว่าแผ่นอนามัยแบบทั่วๆไปโดยที่จะมีแผ่นอลูมิเนียมติดตั้งไว้ด้านล่างของแผ่น ทำหน้าที่เป็นตัว Sensor ตรวจจับความหนาแน่นของปริมาณของเหลว และเมื่อถึงขีดจำกัดในการรองรับของเหลว ตัว Sensor จะสั่งงานให้คลิปที่เป็นสายอยู่ทางด้านบน ส่งสัญาณคลื่นวิทยุ ไปหาตัวรับสญาณที่ถูกติดตั้งไว้ใกล้พยาบาลหรือคนที่คอยดูแลผู้สูงอายุ จึงทำให้สามารถเปลี่ยน Aipad แผ่นใหม่ได้อย่างทันท่วงที แหม่ทำไมทันช่างสะดวกสบายซะจริงๆ เมื่อไหร่บ้านเราจะมีแบบนี้บ้างนะ

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องล้อเลียนของคำที่ดันมาพ้องเสียงกัน จึงทำให้ถูกเตือนมาว่าอย่าได้ถือ iPad ที่ประเทศญี่ปุ่นนะ เพราะอาจถูกผู้สูงอายุปัสสาวะใส่เอาได้ ท้ายที่สุดทาง Apple ก็ยังไม่ได้ออกมายืนยันใดๆถึงสาเหตุของชื่อโปรดักของตัวเองที่ถูกตั้งชื่อให้คล้ายกับผลิตภัณฑ์ของทางญี่ปุ่น หรือนี่อาจจะเป็นเพียงแค่เพียงเรื่องบังเิอิญก็ได้

ที่มา : asiajin

Apple ฟันกําไร 208+ เหรียญต่อ iPad 1 เครื่อง !

ตอนนี้ข่าวคราว iPad น่าจะมากสักหน่อย เพราะเพิ่งจะเปิดตัวเมื่อไม่กี่วันมานี้ และเป็นอะไรที่น่าสนใจมานานแล้ว ล่าสุดก็มีข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตออกมาเพิ่มเติมจาก Wall Street ได้กล่าวว่า iPad มีต้นทุนการผลิตต่อเครื่องเพียง 270 เหรียญเท่านั้นสําหรับรุ่น WiFi 16GB ในที่นี้ยังไม่รวมต้นทุนประกัน 20 เหรียญต่อเครื่อง

ส่วนที่แพงสุดๆ ในเครื่องนี้ไม่พ้นหน้าจอทัช 9.7 นิ้วที่นาย Brian Marshall ออกมาประมาณการไว้ว่าน่าจะอยู่ราวๆ 100 เหรียญ, เมมโมรี่ภายใน 16GB และตัวเคสอลูมิเนียมประมาณ 25 เหรียญ และโปรเซสเซอร์ Apple A4 ประมาณ 15 เหรียญเท่านั้น

จากต้นทุนที่ค่อนข้างตํ่า เมื่อเทียบกับราคาขายที่เริ่มจาก 499 เหรียญเป็นต้นไป ทําให้หลายคนวิเคราะห์ว่า iPad "แพงเกินไป" โดยเฉพาะรุ่น 3G-WiFi-32GB ที่มีต้นทุนเพียง 332 เหรียญแต่ราคาขายล่อไป 729 เหรียญ คราวนี้แอปเปิ้ลน่าจะฟันกําไรเละเทะกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และหลายคนน่าจะเปลี่ยนไปซื้อเน็ตบุ๊คแทน เพราะหลายอย่าง iPad ทําไม่ได้ อย่างเช่น "เล่น Flash" ตามที่ทางเว็บนําเสนอไปเมื่อวันก่อน

Ezra Gottheil นักวิเคราะห์ได้กล่าวว่า"เราคิดว่า 499 $ สําหรับ iPad ยังคงแพงเกินไป หวังว่าทางแอปเปิ้ลน่าจะลดราคาลงมาอยู่ในระดับเน็ตบุ๊ค (ประมาณ 300-350 เหรียญ) ซึ่งจะทําให้ผู้ใช้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะพวกที่ต้องการความสะดวกในการใช้งาน แน่นอนว่าเค้าต้องเลือก iPad !!"

เอาล่ะ อย่างน้อย iPad ก็น่าจะถูกลงในอนาคตอยู่แล้ว แล้วคุณล่ะ อยากจะได้มันมาไว้ครอบครองมั้ยครับ

ที่มา : Computerworld

อินเทลจับมือไมครอน เตรียมเปิดสายการผลิต NAND Flash 25 nm

[ 25nm IMFT 2-bit MLC NAND Flash, 8GB, 167mm2]

ปลายปีนี้เราอาจจะได้ใช้ SSD Drive ในราคาที่ถูกลงไปอีก แต่ได้ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จากการร่วมมือของอินเทล กับไมครอน (หรือ IMFT) นําเสนอการผลิต NAND Flash เทคโนโลยี 25nm ในอีก 6 เดือนข้างหน้าเพื่อแข่งขันกับกลุ่มเทคโนโลยี 34 nm ในปัจจุบัน คาดว่าผลิตภัณฑ์แรกที่ใช้เทคโนโลยี 25 nm จะวางขายช่วงปลายปีนี้ก็คือ X25-M ของอินเทล มีความจุให้เลือก 3 แบบเช่นเคยคือ 160-320-600GB

สําหรับเทคโนโลยี 25 nm เป็น NAND แบบ MLC 2-bits-per-cell (8GB-64Gbit) จากเดิม 34 nm ที่จุได้แค่ 4Gb เท่านั้น อนาคตไม่ต้องเดาว่า SSD จะมีขนาดเล็กแค่ไหน และความจุจะมากสักเท่าใด แต่ต้องยอมรับว่า 1TB เดี๋ยวนี้ บางคนยังใช้ไม่พอเลยครับ

IE6 นั้นใช้งานมานานจนกระทั่งมีเบราเซอร์อื่นๆ "สามารถทดแทนกันได้" เยอะแล้ว และเนื่องจากมีปัญหาด้านความปลอดภัยด้วย หลายๆ เว็บไซต์จึงทยอยประกาศเลิกสนับสนุน IE6 จนมาถึงคิวกูเกิ้ลที่ประเดิมไม่สนับสนุน 2 บริการแรกกับ IE6 คือ Google Docs และ Google Sites เพราะต้องการให้ผู้ใช้หันไปใช้เบราเซอร์ที่ใหม่กว่า และสามารถรองรับลูกเล่นที่ดีกว่าได้

ผู้ใช้ 2 บริการข้างต้นนี้ จะต้องอัพเกรดเบราเซอร์ตนให้เป็น IE7.0+, Firefox 3.0+, Chrome 4.0+ และ Safari 3.0+ อย่างใดอย่างหนึ่ง มีผลตั้งแต่ 1 มีนาคมนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ยังมีบริการหลักๆ ที่จะไม่สนับสนุน IE6 อีกคือ Gmail และ Google Calendar ซึ่งทางกูเกิ้ลก็เริ่มที่จะโปรโมตให้ผู้ใช้ "อัพเกรดเบราเซอร์ซะ !!"

เป็นปกติที่ส่วนแบ่งการตลาด IE6 จะลดลงต่อเนื่อง เพราะเมื่อหลายเว็บเลิกสนับสนุน ผู้ใช้ก็ต้องเปลี่ยนไปใช้ของที่ใหม่กว่า ถือว่าเป็นเรื่องดีครับ เพราะของใหม่ก็ต้องดีกว่าของเก่าอยู่แล้ว จริงมั้ย ?

เตรียมพบกับแรม DDR3 เทคโนโลยี 30 nm ประหยัดทั้งพลังงาน-ค่าใช้จ่าย



ซัมซุงเปิดตัว DDR3 รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิต 30 นาโนเมตรวันนี้ ชูจุดเด่นด้านการประหยัดพลังงานมากกว่า ในขณะที่ยังให้ประสิทธิภาพเร็ว แรงเหมือนเดิม โดยจะเริ่มผลิตในช่วงกลางปีนี้ และจะใช้เทคโนโลยีดังกล่าวกับเมมโมรี่ชนิดอื่นๆ ในอนาคตอีกด้วย

DDR3 แบบใหม่นี้จะเริ่มผลิตในขนาด 2GB ก่อนเป็นอันดับแรก โดยแรม 30 นาโนเมตรจะช่วยคุณประหยัดพลังงานกว่าแบบ 50 นาโนเมตรเดิมได้ถึง 30% (กินไฟประมาณ 1.35-1.5 โวลท์) มีให้เลือกทั้งแบบใน Desktop และใน Laptops สําหรับเทคโนโลยี 25 nm ในเมมโมรี่ที่ทางอินเทลเพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อวันก่อน ใช้กับ Flash Memory เฉยๆ แต่ไม่ได้เอามาใช้ในการผลิตแรมแต่อย่างใดครับ

MSI เผยโฉม ATi Radeon HD 5770 HAWX สุดเท่ห์

วันนี้ MSI ผู้ผลิตอุปกรณ์ it รายใหญ่ของเราได้เปิดตัว Graphic Card แบบ Non - Ref รุ่นใหม่ในชื่อของ HAWX (สงสัยวิศวกร MSI ชอบเล่น HAWX เลยเอามาตั้งชื่อ อิอิ)

HAWX มาพร้อมกับขุมพลังอย่าง ATi Radeon HD 5770 ที่รองรับ DirectX 11 เช่นเดิม แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างจาก ATi Radeon HD 5770 รุ่นเดิมๆก็คือ PCB และระบบระบายความร้อนแบบ Twin Frozr II ที่ทาง MSI ออกแบบมาเป็นพิเศษ ที่ทาง MSI ออกมาบอกว่า เราใช้วัสดุแบบ "Military Grade"กันเลยทีเดียว

โดยตัว Card ยังคง Spec เดิมแบบเดียวกับ Ref Card คือแรม DDR5 1GB แบบ 128bit และ 800 stream processors โดยจะมีสิ่งที่พิเศษคือจุดที่ใช้สำหรับวัด vGPU และ vMem สำหรับการ Overclock แต่ว่ารุ่นนี้ลด Port DVI เหลือเพียง 1 Port เท่านั้น (จะลดลงไปทำไมเนี่ย)

ที่มา : Guru 3D

intel ประกาศเปิดตัว 7 CPU รับปี 2010 !!!!


intel ประกาศเปิดตัว 7 CPU รับปี 2010 !!!!!

ทางบริษัท Intel ได้ทำการเปิดตัว 7 CPU รับปี 2010 โดย 1 ในนั้นมี i7 980X ติดโผมาด้วย

รายชื่อ CPU ที่เปิดตัว สามารถอ่านได้จากข้างล่างนี้ครับ

  • Core i7 980X "Gulftown": six-core, LGA-1366, 3.33 GHz (turbo: 3.60 GHz), March 16
  • Core i7 970 "Bloomfield": quad-core, LGA-1366, 3.33 GHz (turbo: 3.46 GHz), Q3, 2010
  • Core i7 930 "Bloomfield": quad-core, LGA-1366, 2.80 GHz (turbo: 3.06 GHz), February 28
  • Core i7 880 "Lynnfield": quad-core, LGA-1156, 3.06 GHz (turbo: 3.73 GHz), Q2, 2010
  • Core i5 680 "Clarkdale": dual-core, LGA-1156, 3.60 GHz (turbo: 3.80 GHz), Mid-May
  • Core i3 550 "Clarkdale": dual-core, LGA-1156, 3.20 GHz, Q2, 2010
  • Pentium E6700 "Wolfdale-2M": dual-core, LGA-775, 3.43 GHz, Q2, 2010

ส่วนราคายังไม่ทราบแน่ชัด แต่คิดว่าต้องโดนใจหลายๆคนแน่นอน

ที่มา http://www.i3.in.th/news/view/1821

บอกลาปัญหาภาษาต่างด้าวใน MP3 ด้วย Mp3tag


ปัญหาสําหรับมือถือในปัจจุบันอีกข้อก็คือ ทําไมเข้าเครื่องเล่นเพลงเเล้วเจอเเต่ภาษาพิลึกกึ่กกือไปหมด ? ทั้งหมดนี้มันเปิดจากเครื่องเล่นเพลงไม่อ่าน Tag (รายละเอียดเพลง) นั่นเอง ซึ่งเรามีวิธีเเก้่ครับ คือลบ tag ออกไปโดยใช้โปรเเกรม Mp3tag มาดูกันเลย

โปรเเกรมที่เราใช้กันในวันนี้ก็คือ Mp3tag ครับ สามารถโหลดไปใช้กันได้ฟรีๆ ไม่ต้องลงทะเบียนให้ยุ่งยาก ตามลิ้งนี้เลยครับ http://www.anytag.de/download/mp3tagv242setup.exe

เริ่มต้นจุดประกาย นับหนึ่งเริ่มต้นใช้ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์แท้


ในช่วงแรกๆนั้นจำได้ว่า เคยซื้อซอฟต์แวร์เถื่อนจากห้างดังในราคาร่วมๆ 4 ร้อยบาท ตอนนั้นยังเป็นแผ่นปั๊ม และแผ่นไรท์ที่มีความแข็งอยู่ (แผ่นซีดีเหตุซปัจจัยมาจากเครื่องไรท์แผ่นยังมีราคาที่สูงมาก ไม่ใช่ร้อยกว่าบาทเหมือนทุกวันนี้ ทำให้การซื้อซอฟต์แวร์เถื่อน ก็ค่อนข้างจะได้รับความนิยม โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยเรียน การที่จะได้คอมพิวเตอร์ใช้สักเครื่องก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว เพราะราคาร่วมๆสามถึงสี่หมื่น หากบวกราคาซอฟต์แวร์ช่วงนั้นคือ Windows Me, Windows XP เข้าไป ยังไม่รวมโปรแกรมชุดออฟฟิศที่รู้ๆกันว่าราคาร่วมหมื่น ชุดโปรแกรมตกแต่งภาพชื่อดังที่มีราคาหลายหมื่น นี่ยังไม่รวมซอฟต์แวร์อื่นๆอีก เช่น ACDSee, Winzip, Winamp ชุดเต็มลิขสิทธิ์แท้อีก อีกสาเหตุใหญ่ๆคือ ไม่รู้จะไปซื้อของแท้ที่ไหน แล้วก็เวลาซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ จะมีการติดตั้งซอฟต์แวร์เถื่อนมาให้อยู่แล้ว ยกเว้นชุด PC ประกอบที่เป็นแบรนด์อย่าง Acer, HP, Powell, Belta, Liberta ที่มีชุด Windows แท้มาให้ด้วยพร้อมตัวเครื่องเลย หลายๆคนเข้าใจว่าเมื่อซื้อเครื่องจะได้ซอฟต์แวร์เถื่อนมาให้อยู่แล้ว
ชุดซอฟต์แวร์ที่ทุกคนใช้ของเถื่อนก็น่าจะเป็น Antivirus โดยเฉพาะช่วงแรกๆนั้นจะเป็น Mcafee และ Norton Antivirus ซึ่งตอนนั้นถามว่าราคาแพงไหม พันกว่าบาท สองพันกว่าบาท ก็ถือว่าแพง ต่อมาที่น่าสนใจก็คือช่วงที่ Nod 32 ออกมาด้วยราคาไม่ถึงพัน ทำให้หลายๆคนมองว่าราคา Antivirus แท้ถูก แต่ก็ยังใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนอยู่ดี เพราะการจ่ายเงินแล้วอัพเดตข้อมูลไวรัสแค่ปีเดียว
การที่คิดว่า ใครๆก็ใช้กัน ทุกคนจึงใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนกันจะเป็นเรื่องปกติ ยิ่งบริษัทด้วยแล้วยิ่งใช้ของเถื่อนเพราะจะซื้อของแท้ให้พนักงานทั้งออฟฟิศก็คงเป็นไปไม่ได้ นี่ยังไม่รวมซอฟต์แวร์ตกแต่งภาพ ออกแบบสามมิติ และออกแบบด้าน Interior Design ออกแบบตกแต่งภายในอีก ซึ่งมูลค่าซอฟต์แวร์แท้บางตัวเป็นแสนเลยทีเดียว ที่นี้ทุกคนเห็นพ้องกันว่า ใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ช่วงเรียน ก็ใช้ของเถื่อน เพราะใช้งานเพื่อการศึกษา ทำรายงาน ไม่ได้แสวงหาผลกำไรหรือเอามาค้าขายในเชิงธุรกิจ แต่เมื่อกิจการร้านอินเตอร์เน็ตเฟื่องฟู ทำให้หลายๆคนเริ่มตระหนักถึงซอฟต์แวร์แท้ เพราะมีการตรวจจับ เมื่อช่วง 5 – 6 ปีที่แล้ว เห็นบางร้านนำซอฟต์แวร์ Open Source มาให้บริการ เช่น AVG Free Antivirus, Avast มาให้บริการ รวมไปถึงซอฟต์แวร์ Open Office มาให้ใช้งาน แต่ก็ยังไม่มีการสอนใช้งานเป็นเรื่องเป็นราว และการให้บริการเกมส์จึงเป็นซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์แท้ที่ให้บริการสาธารณะ

จากที่เคยคลุกคลีในวงการไอทีมานานนับสิบปี ได้ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนเยอะมาก ตั้งแต่สมัยซีดีแผ่นละ 400 บาท ตั้งแต่สมัยเรียน จนมาถึงช่วงทำงานที่หาเงินได้เอง ซอฟต์แวร์แท้ที่ซื้อก็คือ พจนานุกรม ที่มีราคาไม่แพงนัก อยู่ในระดับที่รับได้คือ 399 - 799 บาท สำหรับผมอยู่ในวงการมือถือ เปลี่ยนมือถือบ่อยๆ อยู่ในช่วงราคา 3xxx - 9xxx จนไปถึง 15xxx ก็เลยกลับมาคิดว่า เอ ทำไมเงินในระดับ 3 - 9 พันเราซื้อมือถือได้ แต่ทำไมซอฟต์แวร์แท้เราซื้อไม่ได้ พอได้อ่านหนังสือ Software Magazine ของ Software Direct ก็ได้ไอเดียและแรงบันดาลใจ
ก็เลยอยากจะแนะนำให้เกิดแรงบันดาลใจ เพราะหลายคนอาจจะพอมีกำลังซื้อ โดยส่วนตัวผมคิดว่า ค่าซอฟต์แวร์แท้ลิขสิทธิ์ถูกต้อง ราคาประมาณ 1xxx ก็พอจะซื้อได้ พวก Antivirus เดี๋ยวนี้ก็ไม่แพง ถูกมาก เช่น Nod32, Kaspersky, Bitdefender, Norton ก็ไม่แพงแล้ว อยู่ในระดับ 399 / 699 / 799 แล้วแต่ จำนวน license แนะนำให้ซื้อ 3 license ไปเลย เผื่อใช้เครื่องน้อง เครื่องที่บ้าน แล้วก็โน้ตบุ๊ค และคุณสมบัติในการใช้งานก็น่าจะดีกว่าของเถื่อนด้วย ก็เลยคิดว่า โปรแกรมที่ขายในช่วง 3 - 6 พันก็พอจะซื้อได้อยู่ ถ้าเป็นหมื่นคงไม่ไหว
ที่อยากจะแนะนำตอนนี้ แรกๆอาจจะเริ่มต้นที่ระบบปฏิบัติการเสียก่อน แล้วก็พ่วงด้วย Microsoft Office
คุณคิดว่า Windows สมัยนี้ราคาเท่าไหร 8 พัน หมื่นกว่า น่าดีใจที่ตัว OEM ของ Windows Vista Home ราคาแค่สี่พันกว่าๆ หากเป็นนักเรียนก็อยากให้เริ่มต้นง่ายๆกับ Microsoft Office Home and Student 2007 ราคาถูกมากแค่ 3250 บาทเท่านั้นเอง (ตรวจสอบราคาอีกครั้งจากร้าน) เมื่อเทียบกับสมัยก่อนเป็นหมื่นก็ซื้อไม่ไหวเหมือนกัน ซอฟต์แวร์ที่ได้ก็คือ Word, Excel, PowerPoint และ OneNote ที่สำคัญที่ซื้อ 1 กล่อง ติดตั้งได้ 3 เครื่อง แบบนี้ซื้อไป ใช้ที่บ้าน ลงในเครื่องพ่อ เครื่องพี่ เครื่องตัวเอง ยิ่งบ้านมีพ่อแม่ ใช้เครื่องนึง พี่ น้อง มี 2 – 3 คนก็ใช้กันสบาย แบบนี้คิดว่าแชร์ๆกันก็คงสะดวกไม่น้อย เอาง่ายๆว่า 3250 หาร 3 เท่ากับ 1083 บาทต่อคนเท่านั้นเอง ลองหารด้วย 4 โปรแกรมก็เหลือแค่โปรแกรมละ 270 บาทโดยเฉลี่ยเท่านั้นเอง นับว่าถูกมากๆและน่าสนใจดีครับ
เริ่มจากตัวเราก่อน
อยากให้เริ่มต้นที่ตัวเราก่อน หากใครมองว่าซื้อ iPhone ในราคาสองหมื่นได้ มือถือราคาหมื่นครึ่ง หากคุณมีกำลังพอจะที่ซื้อ Windows แท้ บวกกับ Office แท้ ในราคาแค่ 8 พันกว่าๆ เท่านั้น เมื่อเทียบกับมือถือที่เราเปลี่ยนบ่อยๆ ในราคาหมื่นห้า ส่วน Antivirus ราคาก็แค่ 399 - 799 เท่านั้นเอง ก็ไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง ถือซะว่า เราเป็นผู้เริ่มต้นใช้ของแท้ในบ้านเราเอง
หรือใครที่ไม่ค่อยมีงบ แต่อยากใช้ซอฟต์แวร์แท้ ผมก็ไปเจอว่า Notebook ของ Dell มีแถม Microsoft Works มาด้วย มันคือซอฟต์แวร์อะไร ไม่คุ้นหู เลยไปค้นในเว็บไซต์ของ Microsoft สำหรับทั้งผู้ใช้ในบ้านและผู้ใช้ในธุรกิจ Microsoft Works เป็นทางเลือกที่มีต้นทุนต่ำกว่าชุดโปรแกรม Microsoft Office ที่มีคุณลักษณะครบครัน Microsoft Works เป็นแพ็คเกจเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่มีการทำงานร่วมกันอย่างเหมาะสม ได้รับการออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ในบ้าน และครอบครัวที่มีผู้เริ่มต้นใช้คอมพิวเตอร์ แต่เวลาใช้งาน เซฟงาน อาจจะต้องมีการแปลงชนิดไฟล์นิดหน่อย ซึ่งราคาของ Microsoft Works อยู่ที่ประมาณพันต้นๆเท่านั้นเอง หันกลับไปคิดอีกครั้ง บางคนแต่งรถ ซื้อมือถือ iPod เครื่องเล่นเกมส์ราคา 8 พัน – 1 หมื่นขึ้นยังซื้อได้ แต่กับซอฟต์แวร์แท้ราคาแค่พันกว่าบาทจนไปถึง 6 พันซื้อไม่ได้ ไม่ใช่จะกระแดใช้ของแท้นะครับ เพราะทุกคนมองว่าการใช้ของเถื่อนเป็นเรื่องปกติไปแล้วต่างหาก แน่นอนว่าโปรแกรมเมอร์ไม่ได้ดังเหมือนนักร้อง ที่ชอบและชื่นชมคนไหนก็ซื้อแผ่นแท้ แต่มันคือจริยธรรมในการใช้งานที่น่าจะเริ่มต้นกันได้ในยามที่เราพอจะหารายได้เลี้ยงตัวเองได้ มองอีกมุมนึงก็คือ เราหาเงินด้วยซอฟต์แวร์เถื่อนเหล่านี้ เอาเปรียบโปรแกรมเมอร์เพื่อเลี้ยงปากท้องตัวเอง ในขณะเดียวกันโปรแกรมเมอร์น้ำตาตกในเพราะมีแต่คนใช้ของเถื่อน
ลองนึกภาพดูว่าคุณซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า ได้ในราคาพันกว่าบาทอยู่แล้ว ค่าโทรก็จ่ายร่วมพัน ดังนั้นพันต้นๆซื้อ Microsoft Works ก็น่าสนใจอยู่ หรือจะเก็บเงินเพิ่มไว้ซื้อ Office Home and Student ก็ไม่น่าจะเกินความสามารถไป

หลายๆ คนไม่รู้ว่าจะซื้อซอฟต์แวร์แท้ได้ที่ไหน ในไทยจะมีบริษัทที่ขายคือ I.T.Solution มีร้านขายคือ Primer Soft ที่ไอทีมอลล์ ชั้น 3 ครับ แล้วก็มีของ software.co.th ที่ขายบนเว็บไซต์
แนะนำระบบปฏิบัติการ

ถ้าเอาแค่ Windows XP Professional Service Pack 3 ราคาประมาณ 56xx เท่านั้นเอง
Windows Vista Home Basic SP1 ราคาแค่ 36xx เท่านั้นเอง ถือว่าไม่แพงเลย หากซื้อ Windows + Office ตัวที่บอกไปข้างต้น แบบนี้ก็ใช้งบประมาณรวมๆแค่ 7 พันเท่านั้นเอง นับว่าไม่แพงเพราะเครื่องใหม่เดี๋ยวนี้ก็หมื่นกว่าๆ หากมีงบ 2 หมื่นกว่า ซื้อเครื่องแค่หมื่นห้า ที่เหลือก็ใช้เป็นค่าซอฟต์แวร์แท้ หรือหากอยากติดตั้งได้หลายเครื่องก็ซื้อแบบ OEM ไปดีกว่า

ถามว่าแพงไหม ต้องดูที่การใช้งาน ในฐานะของคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน แล้วมีรายได้จากการใช้งานคอมพิวเตอร์แล้ว ถือว่าไม่แพงเลย เพราะราคาไม่ใช่หมื่นกว่าสองหมื่นแบบเมื่อก่อนแล้ว

ส่วนโปรแกรมอื่นถ้าจะให้แนะนำ ACD See ก็ใช้ Open Source อย่าง Picasa หรือ Photoscape แทนได้ หรือไรท์แผ่นก็มี Nero ที่แถมมากับไดร์ฟเขียน หรือใช้ซอฟต์แวร์ฟรีก็มีให้โหลดได้ฟรีๆ Antivirus ฟรีก็มีให้ดาวน์โหลดเช่นกัน

สำหรับผมในฐานะนักแปลและนักเขียน โปรแกรมพจนานุกรมราคา 599 ก็ซื้อได้ เพราะอะไร ก็เพราะขนาดว่า Electronic Dictionary ราคา 3 - 8 พันถึงหมื่นกว่าก็ซื้อกันได้ แต่ทำไมซอฟต์แวร์พจนานุกรมแท้ราคาไม่กี่ร้อยซื้อกันไม่ได้ เหตุผลเพียงเพราะว่าของเถื่อนร้อยเดียวเท่านั้นหรือ อะไรที่เป็นความรู้ ถือว่าเป็นครูของเราก็น่าจะเคารพและให้เกียรติ (ในฐานะที่เรามีรายได้พอจะซื้อของแท้ได้นะครับ)

โดยส่วนตัวมองว่า ทุกคนล้วนแต่ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนเพื่อการศึกษา ทดลอง และฝึกฝนการใช้งานกันทั้งนั้น แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งหากว่าเรามีรายได้จากซอฟต์แวร์ที่เราทำงาน เรียกว่าใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ ก็พอที่จะเก็บเงินเพื่อซื้อของแท้ใช้งานบ้าง

ผมอยากให้ทุกคนมีจุดเริ่มต้นเป็นแรงบันดาลใจเพื่อค่านิยมในการใช้ซอฟต์แวร์แท้ครับ

แนะนำกล้องดิจิตอลคอมแพ็ครับหน้าร้อน

[ข้อมูลบางส่วนจากห้องกล้อง Pantip.com และเว็บไซต์ร้านขายกล้องชั้นนำ]

ถามกันมามากว่า ในงบหมื่นห้า มีกล้องตัวไหนน่าสนใจบ้าง อันดับแรกก็คือตั้งไว้ว่า จะซื้อกล้องมาเพื่ออะไร ใช้ถ่ายสินค้า ใช้ทำข่าว ใช้ลงบล็อก ใช้ถ่ายภาพทั่วๆไป ชอบไปเที่ยว เน้นพกพาสะดวก หรือบางคนเพิ่งมีเจ้าตัวน้อย ก็กำลังเห่อมองหากล้องวีดีโอ ลองตั้งงบไว้คร่าวๆก็ดีที่น่าจะพิจารณาก็คือเรื่องของ แบตเตอรี่ แบบไหน แบบชาร์จ หรือใช้ถ่าน หน่วยความจำแบบไหน ปกติจะเป็น SD Card รองรับ SDHC บางรุ่นก็เป็น Compact Flash หรือ xD Card ส่วน Sony จะเป็น Memory Stick ถ้าใช้มือถือ Sony Ericsson อยู่แล้ว ก็นำเมมโมรี่มาใช้ด้วยกันก็ไม่มีปัญหา จำได้ว่าเมื่อ 4 - 5 ปีก่อน ราคาหมื่นห้า ได้กล้อง 5 ล้านพิกเซล ก็ถือว่าเยอะแล้ว ตอนนั้นจำได้ว่าหน่วยความจำแค่ 256MB ก็เก็บรูปได้ร่วมร้อยรูปแล้ว เพราะเอาเข้าจริงๆ ก็ตั้งไว้แค่ 3 ล้านพิกเซลไม่ค่อยจะตั้งเต็ม 5 ล้านพิกเซล

ตอนนี้ร้านอัดรูปก็มีเยอะ เครื่องพรินต์สีก็มีเยอะ หลายคนก็ชอบถ่ายรูปแล้วเอามาอัด ส่วนมากก็แค่ 4 x 6 หรือจัมโบ้ ความละเอียดแค่ 3 - 5 ล้านพิกเซลก็ถ่ายได้แล้วตอนนี้ฟังก์ชั่นสุดฮิตของกล้องทุกตัวต้องมีก็คือ ป้องกันมือสั่น ป้องกันวัตถุเบลอขณะเคลื่อนไหว มีลูกเล่นในการจับใบหน้า (Face Detection) และ Smile Shot หรือ Smile Shutterไม่ยิ่ม ไม่ถ่าย แน่นอนว่าครั้งแรกของการเลือกกล้องดิจิตอล หลายๆคนคงจะมองถึงกล้องคอมแพ็ค ในแง่ของความสะดวกในการพกพา และการถ่ายภาพที่มีลูกเล่นและคุณภาพดีกว่ากล้องมือถือ อย่าลืมว่าสมัยนี้กล้องมือถือปาเข้าไป 5 - 8 ล้านพิกเซลเข้าไปแล้ว แถมยังมีลูกเล่นการปรับแต่งคล้ายกล้องจริงด้วย ก็ต้องลองพิจารณาลักษณะ Life Style ของคุณว่าเหมาะกับกล้องมือถือหรือกล้องคอมแพ็คทุกวันนี้ผมพกกล้องคอมแพ็คไปทำงานทุกวัน ที่น่าปลื้มที่สุดก็คือ เอากล้องคอมแพ็คติดกระเป๋าไปทำงาน แล้ววันที่มีพระจันทร์ยิ้มก็ไม่รู้ว่าวันนั้นมี เห็นคนมองๆท้องฟ้าก็เลยได้ควักกล้องคอมแพ็คมาถ่ายได้เลย คนอื่นใช้กล้องมือถือถ่ายแล้วมองไม่เห็น ก็ถือว่าโชคดีกว่าการใช้กล้องมือถือในบางสถานการณ์

กล้องคอมแพ็ครุ่นแรกที่อยากจะแนะนำ มีจากค่ายพอลล่า ก็คือ Canon นั่นเอง จะอยู่ในตระกูล IXUS 870IS ตัวนี้เห็นว่าบรรดาเซียนกล้องแนะนำกันเยอะเลย

จุดเด่นก็คือ
- ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล
- ซูมแบบ Optical 4 เท่า (อย่าไปมองเรื่อง Digital Zoom มองที่ Optical Zoom ดีกว่า)
- มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว
- จอขนาด 3 นิ้ว (ให้วัดแนวทแยง)
- ระบบ Face Detection AF/AE/FE/WB ปรับโฟกัสใบหน้าให้โดดเด่นในทุกๆภาพ
- บันทึกเสียงได้
- หากถ่ายภาพแล้วต้องการตกแต่งก็ยังสามารถย่อ ขยาย และปรับแต่งภาพได้นิดหน่อย
- น้ำหนัก 105 กรัม (ไม่รวมแบตเตอรี่)

เรื่องน้ำหนักนี่หากพกใส่กระเป๋าทุกวันคงจะต้องพิจารณาสักนิด โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่มีทั้งมือถือ กล้อง เครื่องสำอางค์ และอุปกรณ์อื่นๆ ยังไม่รวม iPod อีก

คุณสมบัติที่ช่วยเรื่องการถ่ายภาพ
ชิปประมวลผล DiGic4 ของแคนนอน ก็เหมือนอุปกรณ์ทั่วๆไปที่มีซีพียูในการประมวลผลโฟกัส 9 จุดISO 1600ภาพไม่มืดเพราะปรับแสงให้สว่าง มีระบบตรวจจับใบหน้าป้องกันภาพเบลอจากวัตถุเคลื่อนไหวปรับค่าแสงอัตโนมัติ และปรับความไวแสงอัตโนมัติใครที่ชอบถ่ายมาโคร ใกล้ที่สุดคือ 2 เซ็นติเมตรเลนส์ Wide 28 ม.ม.ถ่ายวีดีโอ 640 x 480 ที่ 30 เฟรมต่อวินาทีราคาอยู่ที่ประมาณ 13900 แถม SD Card 1 GB และกระเป๋า (โปรโมชั่นอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องศูนย์ หรือเครื่องร้าน และร้านใดมีของแถมอะไรบ้าง)

คิดสักนิดก่อนเลือกปลั๊กราง เอาคุณภาพและความปลอดภัยมาก่อนดีกว่า


ที่เอามาฝากันก็เพราะ i3 อยากให้ทุกคนตระหนักเรื่องความปลอดภัยในการใช้ปลั๊กรางนั่นเอง ไฟไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่าประมาทกับเรื่องไฟ กับปลั๊กรางราคาถูก ด้อยคุณภาพ หลายๆคน (รวมทั้งผม) เคยใช้ปลั๊กรางราคาถูกๆ ร้อยกว่าบาท ถามว่าใช้ได้ไหม ใช้ได้ครับ แต่หลายครั้งที่เจอแบบ ปลั๊กละลายเพราะร้อนจัด ไม่ทนไฟ สายไฟเส้นเล็กๆ แต่พ่วงอุปกรณ์เยอะมากจนเกินกำลัง ผมก็เคยใช้ปลั๊กไฟราคาร้อยกว่าบาทอยู่ประจำ แต่พอใช้ไปสักพัก ก็ต้องเปลี่ยน เพราะคุณภาพไม่ไหวจริงๆ บางช่องก็เสียบแล้วไฟไม่เข้า เสียบที่ชาร์จมือถือก็ต้องขยับ โดยเฉพาะปลั๊กแบบกลมพวกอแดปเตอร์ ปลั๊กดีๆก็มีเยอะ แต่ระบบตัดไฟคงไม่ได้คุณภาพและไม่มีมาตรฐาน จริงอยู่อาจจะมี มอก อุตสากรรมสำหรับสายไฟ แต่ตัวปลั๊กไฟเองก็ด้อยคุณภาพ บางคนสร้างบ้านอาจจะเคยได้ยินปลั๊กของ Toshino, Bichino และ National นั่นแหล่ะครับปลั๊กคุณภาพ อยู่เป็นสิบปีก็ไม่แตก ไม่เสื่อมคุณภาพ

เคยคุยๆกับเพื่อนที่เล่นเครื่องเสียง ก็เลยรู้ว่า พวกเล่นเครื่องเสียงเขาซีเรียสกับปลั๊กไฟมาก เพราะสัญญาณรบกวนจากปลั๊กไฟด้อยคุณภาพ มันไม่คุ้มกับเครื่องเสียงเรือนแสนของเขา แถมลดทอนการทำงานด้านเสียงอีก ก็เลยกลับมาคิดว่า แต่ละคนใช้คอมพิวเตอร์ ทีวี ราคาหมื่นขึ้น โน้ตบุ๊คราคาสามหมื่น Macbook Pro ราคาครึ่งแสน แต่กลับใช้ปลั๊กรางอันละร้อยกว่า มันน่าคิดไหมล่ะครับ บางคนอ่านมาถึงตรงนี้ เอ่อ ก็จริงแฮะเปรียบเทียบแบบนี้ทุกคนจะได้เข้าใจ เอาคอมแรงๆ การ์ดจอโหด ฮาร์ดดิสก์เยอะๆ จอใหญ่ๆ หมดไปหลายหมื่น แต่กลับงกปลั๊กรางราคาสองร้อย ใช้งานจนร้อนจัดก็ไม่มีระบบตัดไฟ ร้อนมากก็ละลายถึงไหม้ได้เลย หาปลั๊กรางคุณภาพดีๆหน่อยจะดีกว่าไหม เห็นมีหลายยี่ห้ออย่างของ Symdrome มีปลั๊กไฟอันละ 490 และ 1xxx ผมว่าคุณภาพมันดีกว่าเยอะ มีระบบตัดไฟ หากไฟรั่ว ไฟเกิน ไฟกระชาก ไอ้ฟิวส์อันเล็กๆผมว่าเอาเข้าจริงมันไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับ

อยากจะบอกว่า อย่าไปงกกับปลั๊กรางอันละสองร้อยเลยครับ บางยี่ห้อเป็นผู้ผลิต UPS เครื่องสำรองไฟ พวกนี้เขาเชี่ยวชาญเรื่องระบบการตัดไฟ สำรองไฟ โรงงานมีมาตรฐาน อย่างของ Zircon เคยเห็นบริษัทอยู่แถวบ้าน ก็ไม่ได้สนใจ ไปงาน Powerbuy Expo ไปเจอปลั๊กรางอันละ 375 สายไฟยาว 3 เมตร มีช่องเสียบ 6 ช่อง งานประกอบดีเนี้ยบกว่าปลั๊กรางถูกๆเยอะเลย ยอมเสียเงินเยอะหน่อยเพื่อความปลอดภัยจะดีกว่าสำหรับผมเองปลั๊กรางราคา 350 – 7xx ก็พอซื้อได้นะครับ แต่สำหรับบางรุ่นราคา 1xxx – 2xxx อย่างของ Belkin บางตัวเชื่อไหมครับ ปลั๊กรางอันละ 2 พัน เอากะเขาสิ บางคนอาจจะมองว่าแพงไปหน่อย แต่ถามว่าดีไหม ดีคุณภาพเยี่ยมเลยล่ะครับ วัสดุก็ดี ไม่ได้ใช้พลาสติก ทนไฟ ไม่กลัวละลาย มีระบบตัดไฟที่ดีกว่าแบบถูกๆเยอะ มาตรฐานก็ระดับโลก แถมถนอมอุปกรณ์ไฟฟ้าของเราราคาร่วมหมื่นด้วย ถ้าสินค้าที่เราใช้ราคาหมื่นขึ้นไป จะใช้ปลั๊กรางจะ 800 – 2000 ก็ไม่น่าจะแปลกอะไร เพราะถ้าใช้ของถูกๆด้อยคุณภาพแล้ว วันดีคืนดีไฟรั่ว ไฟเกิน ไฟกระชาก ฟ้าผ่าก็ไม่คุ้มกัน
ที่นี้เวลาจะซื้อปลั๊กรางทำยังไง บางคนไปตามห้างบิ๊กซี โลตัส ก็ได้แค่ปลั๊กรางถูกๆ เพราะเขาเน้นขายถูก เสียบพัดลม ทีวีจอหลอด วิทยุ ก็ไม่ได้แปลกอะไร แต่ถ้าเอามาใช้กับชุดโฮมเธียร์เตอร์ราคาเหยียบแสน แค่ชุดลำโพงก็คู่ละเป็นแสน แอมป์ก็ใช้ไฟเยอะ คอมพิวเตอร์ตัวละสามสี่หมื่น ยิ่ง MacBook Pro ตัวละครึ่งแสนจนเกือบแสน แต่ใช้ปลั๊กรางอันละ 200 มันก็ไม่คุ้มกับความเสี่ยงเรื่องไฟแนะนำให้ไปแผนกคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าครับ จะมีปลั๊กแบบที่มีระบบป้องกันอยู่ หรือตามพวก Offie Depot, Macro Office, Offiemate ก็มี

หากใครบ่นว่าไม่มีตัง ปลั๊กรางราคาไม่ถึงห้าร้อยก็มี คิดว่าไม่น่าจะลำบากสำหรับชาวไอทีอย่างเราๆนะครับ เพราะห้าร้อยเทียบกับความปลอดภัย และการป้องกันอุปกรณ์ราคาร่วมหมื่นถึงแสนของเราแล้ว ถือว่าคุ้มครับ ลองพิจารณากันว่าปลั๊กรางดีๆ ทำไมต้องมีราคาแพง
- วัสดุดีกว่า งานประกอบดีกว่า เสียบแล้วแน่น ไฟไม่สปาร์ค - ระบบป้องกันดีกว่า บางรุ่นราคา 5 - 6 ร้อยกว่าบาท มีระบบป้องกันที่เรียกว่า Surge Protection ด้วย - ป้องกันฟ้าผ่า ไฟรั่ว ไฟเกิน มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ- อย่าไปไว้ใจฟิวส์อันเล็กๆ ผมไม่เคยเห็นมันตัดไฟได้สักที- สายไฟเส้นโตๆ ดีกว่าเส้นเล็กๆบางๆในแง่ของความทนทาน ทนความร้อน ทนการโหลดของกระแสไฟฟ้าและไม่แตกกรอบง่าย บางคนอาจจะเคยเห็นปลั๊กรางหลอมละลายเพราะใช้ไฟเกินขนาด ไม่ไหม้ก็บุญโขแล้วครับ

คำแนะนำ
- เวลาจะซื้อปลั๊กคุณภาพที่มีระบบป้องกัน ให้ดูคำว่า Surge protection ด้วยนะครับ
- แนะนำยี่ห้อจากเมืองนอกอย่าง Belkin และยี่ห้อปลั๊กไฟบ้านอย่าง Toshino
- บางรุ่นมีประกันจ่ายให้คุณทันทีเป็นมูลค่าที่กำหนดหากเกิดไฟรั่ว ไฟเกินจากความบกพร่องของปลั๊กราง
- จากที่ลองๆดูเวบบอร์ดไอที หลายๆคนหงุดหงิดกับปัญหาปลั๊กหลวม ใช้คอมอยู่ขยับโดนนิดเดียวไฟดับ ก็เลยทำให้มองหาปลั๊กคุณภาพ หลายๆคนแนะนำ Toshino กับ Belkin ครับ

มีคำแนะนำบางส่วนมาจากเว็บไซต์ของ Zircon ซึ่งผลิต UPS และ D Plug

บริการและการรับประกัน
1. มีแผงวงจรภายในตัวปลั๊ก ช่วยป้องกันไฟกระชากแรงสูงชั่วขณะ มั่นใจในความปลอดภัยชัวร์
2. มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Mov) รับไฟกระชากได้ 380 Joules อันนี้สำคัญครับ ผมไม่รู้หรอกว่ากี่ Joules มันจะดี ก็น่าจะดีโอเคแล้วสำหรับการใช้งานตามบ้านนะ
3. มีดวงไฟ LED ตรวจสอบการทำงานของไฟฟ้าปกติและสายกราวน์
4. สายไฟฉนวนหนามาตรฐาน CSA, UL กันความร้อนสูงถึง 105 C
5. มีช่องเสียบสายโทรศัพท์ป้องกันสัญญาณรบกวน (DPT-41061) เฉพาะบางรุ่น
6. สวิตช์เปิด-ปิด แบบแข็งไม่มีดวงไฟในตัว ลดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจร อันนี้ทุกคนใช้แต่แบบไฟแดงๆ เพิ่งเคยเห็นแบบนี้แหละดูไฮโซดี
7. ตัวปลั๊กทำด้วยพลาสติกเหนียวหนา ปลอดภัย ไม่แตกชำรุดง่าย
8. เต้าเสียบใช้ได้พรอ้มกันถึง 6 ช่อง ทั้งปลั๊กกลม-และปลั๊กแบน

Badoboom – แปลงไฟล์วีดิโอลง iPhone ด้วยพลังการ์ดจอ

Introduction
สำหรับบทความ How-to ในครั้งนี้ขอนำเสนอโปรแกรมแปลงไฟล์วีดิโอที่ชื่อว่า Badaboom ครับ ชื่อนี้ถ้าเพื่อนๆ เป็นแฟนของกราฟิกการ์ด Nvidia คงคุ้นๆ กับชื่อนี้ครับ เพราะชื่อโปรแกรมนี้ถูกจัดไว้อยู่ในโปรเจค Nvidia Graphic Plus ซึ่งโปรเจคนี้ Nvidia ได้โฆษณาไว้ว่าการ์ดจอไม่ได้มีไว่เล่นเกมเท่านั้น แต่มันยังสามารถประมวลผลงานด้านอื่นๆ ได้อีกหลายรูปแบบทั้ง คำนวนฟิสิกส์ในเกมหรือที่เกมเมอร์รู้จักกันดีในชื่อ PhysX, ประมวลผลทางด้านงานวิจัย, ช่วยประมวลโปรแกรมตกแต่งภาพใน Photoshop CS4 และความสามารถด้านสุดท้ายที่เราจะพูดถึงในครั้งนี้ก็คือการปะมวลผลทางด้านแปลงไฟล์วีดิโอครับ

หากยังไม่เคยรู้จัก Nvidia Graphic Plus ไปอ่านได้ที่บทความนี้ครับ http://www.i3.in.th/news/view/107

เครื่องมือที่จำเป็น
1. โปรแกรม Badaboom (ดาวน์โหลดได้ที่นี่http://www.badaboomit.com/)
2. การ์ดจอของ Nvidia ซีรีย์ 8 ขึ้นไป

Badaboom หัวใจหลักของการใช้พลังการ์ดจอ
โปรแกรม Badaboom เป็นแชร์แวร์ครับ เมื่อดาวน์โหลดมาจะใช้แปลงไฟล์วีดิโอได้ 30 ครั้ง หน้าที่ของมันก็คือสามารถใช้พลังการประมวลของการ์ดจอของ Nvidia ตั้งซีรี่ย์ 8 ขึ้นไปให้สามารถแปลงไฟล์วีดิโอได้ พลังการประมวลผลของการ์ดจอนั้น เหนือกว่าซีพียูมากทีเดียว คิดง่ายๆ อย่างเช่น การ์ดจอรุ่น GeForce 8600GT มีหน่วยประมวลผลหรือศัพท์ของการ์ดจอเรียกว่า Shader ถึง 32 หน่วย ซึ่งถ้าเทียบกับซีพียูนั้นก็หมายความว่ามีถึง 32 คอร์ เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อเราไม่ได้เล่นเกมก็เหมือนกับเรามีซีพียูที่ทรงพลังอยู่ในมือแต่กลับไม่ได้ใช้ให้มันทำอะไรนอกจากเล่นเกม เอาล่ะวันนี้เราจะมาใช้พลังจากการ์ดจอกันให้เต็มที่กันกับการแปลงไฟล์วีดิโอด้วยโปรแกรม Badaboom กันครับ

ประโยชน์ของ Badaboom
ข้อดีของโปรแกรมนี้คือขณะแปลงไฟล์เราสามารถเล่นเน็ต ฟังเพลง หรือพิมพ์งานได้โดยไม่รู้สึกว่าเครื่องหน่วงเลย เพราะทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก Badaboom พลังการประมวลผลจากซีพียูน้อยมาก และนอกจากนี้ความเร็วในการแปลงไฟล์นั้นก็สูงมากอีกด้วย มันมีพลังพอๆ กับซีพียู Quad – Core (4 คอร์) ในการแปลงไฟล์วีดิโอเลยทีเดียว

มองหาโปรแกรมจัดการภาพถ่ายฟรีๆจาก FastStone


ตามปกติแล้วเวลาที่เราจัดการภาพถ่าย ส่วนใหญ่แล้วโปรแกรมที่ติดเครื่องก็คือ ACDSee ซึ่งก็เป็นโปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ที่หลายๆเครื่องมีติดไว้จากการติดตั้งวินโดวส์จากร้านทั่วไป หรือไม่ก็ติดตั้งตามความเคยชินที่เราเคยใช้งาน หากว่าเราต้องการใช้โปรแกรมจัดการภาพถ่ายแบบฟรีๆ แต่ยังไม่ทิ้งความสามารถที่ใกล้เคียงกับ ACDSee ที่เราคุ้นเคย แม้ว่าวินโดวส์ XP หรือ Vista จะมีโปรแกรมที่ช่วยจัดการภาพถ่าย แต่ก็ยังไม่คล่องตัว สะดวก และชินมือเท่ากับโปรแกรมที่เราใช้กันมานานนมอย่าง ACDSee
มองหาโปรแกรมจัดการภาพถ่ายฟรีๆจาก FastStoneสำหรับโปรแกรมจากค่าย FastStone นั้นโดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างที่จะรู้จัก คุ้นเคยและใช้งานมานานมากแล้ว ด้วยความที่เป็นโปรแกรมแจกฟรี และใช้งานได้หลากหลาย มีคุณสมบัติที่ตอบความต้องการได้แทบจะทุกอย่าง แถมช่วงนี้หลายๆคนใช้ NetBook ก็ไม่อยากหาโปรแกรมมาติดตั้งให้หนักเครื่อง สำหรับโปรแกรมในชุด FastStone นั้นมี 2 โปรแกรมที่แจกฟรี นอกนั้นจะเป็นแชร์แวร์ให้ทดลองใช้ โดยโปรแกรมในชุด FastStone นี้มีข้อดีคือติดตั้งแบบ Portable ได้ด้วย
เริ่มจาก FastStone Image Viewer 3.9 มาถึงเวอร์ชั่น 3.9 ก็ยังแจกฟรีอยู่ โดยในรุ่นนี้ได้เพิ่มเติมคำสั่ง "Copy", "Paste" และ "Cut" ในเมนูคลิกขวาและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับชมภาพ การเลือกภาพที่ดีขึ้น ด้วยความสามารถในการชมภาพ จัดการภาพ ด้วย 3 คุณสมบัติหลักๆ Image Browser / Converter และ Editor เรียกได้ว่ารองรับทั้งการชมภาพ แปลงไฟล์ และตกแต่งภาพเลยทีเดียว สามารถตกแต่งภาพอย่างง่ายๆเช่น ลบตาแดง ส่งอีเมล์ ย่อขนาดภาพ ตัดครอบภาพ ปรับสี สร้างสไลด์โชว์ และสนุกสนานกับการจัดการภาพถ่ายได้อย่างจุใจ
สำหรับช่างภาพคงจะชอบการชมภาพพร้อมกับข้อมูลของการถ่ายภาพ EXIF การรับชมภาพถ่ายจำนวนมากแบบ thumbnail รวมไปถึงการจัดการภาพถ่ายได้เช่นเดียวกับโปรแกรมที่ต้องเสียเงินซื้อเลยทีเดียวสำหรับการรับชมภาพนั้น ปกติแล้วเราจะชมภาพแบบ Jpeg จากกล้องดิจิตอลอยู่แล้ว แต่ก็สนับสนุนการรับชมภาพแบบ BMP, JPEG, JPEG 2000, animated GIF, PNG, PCX, TIFF, WMF, ICO และ TGA ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงรองรับการแสดงผลจากกล้องดิจิตอลในรูปแบบ RAW (CRW, CR2, NEF, PEF, RAF, MRW, ORF, SRF และ DNG) เรียกได้ว่าครบเครื่องบนความฟรีจริงๆ
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่
-รับชมภาพแบบ Full Screen และยังซูมขยายภาพได้ตามต้องการอีกด้วย
-ลบตาแดงเพื่อการแสดงผลอย่างเป็นธรรมชาติ
-แก้ไขภาพได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการลด ย่อขนาดภาพ หมุนพลิกภาพ ครอป เพิ่มลดความคมชัด เบลอ ปรับแสงสว่าง และอื่นๆ
-เลือกรูปแบบในการลดขนาดภาพเพื่อคุณภาพของภาพที่ยังคงอยู่ไม่ขาดรายละเอียด
-เพิ่มลูกเล่นให้กับภาพถ่ายด้วยการปรับแต่งโทนสีแบบ gray scale, sepia, negative รวมทั้งปรับค่าสี Red/Green/Blue
-ทำลายน้ำ เงา สร้างกรอบภาพ และเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ
-เพิ่มข้อความ ลายเส้น ไฮไลต์ และปรับแต่งภาพถ่ายได้อย่างอิสระ
-หากแก้ไขผิดพลาดยังสามารถ Undo/Redo ได้หลายระดับ
-แสดงผลภาพให้เหมาะสมกับหน้าจออัตโนมัติ
-จัดการภาพถ่าย ใส่ Tag เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา ลากและวาง คัดลอก ย้ายภาพ และ Copy To/Move To Folder ได้ในพริบตา
-แสดง Histogram เพื่อการปรับแสงสี
-เปรียบเทียบภาพให้เห็นจะจะ มากถึง 4 ภาพในหน้าจอเดียว
-เพิ่มเติมข้อมูล EXIF metadata บนภาพถ่ายได้
-สามารถแปลงไฟล์และแก้ไขชื่อภาพจำนวนมากๆได้อย่างรวดเร็ว
-สร้างสไลด์โชว์ด้วยเอ็ฟเฟ็กต์การเปลี่ยนภาพกว่า 150+ รูปแบบ และยังสามารถใส่เสียงเพลงประกอบสไลด์ได้ด้วย (MP3, WMA, WAV...)
-สามารถแนบภาพเพื่อส่งอีเมล์ให้เพื่อนๆและครอบครัวได้ทันที
-สั่งพิมพ์ภาพแบบเต็มแผ่นโดยไม่มีขอบ
-รองรับการใช้งานกับสแกนเนอร์
-จับภาพหน้าจอได้หลายรูปแบบ
-การบันทึกภาพสามารถพิจารณาก่อนบันทึกได้ว่าคุณภาพและขนาดไฟล์จะเป็นอย่างไร
-มีรุ่นที่สามารถติดตั้งแบบ portable version สามารถติดตั้งบน Removable Disk เปิดได้ทุกเครื่อง
-รองรับการแสดงผลแบบ dual-monitor
อีกโปรแกรมฟรีที่อยากจะแนะนำก็คือ FastStone Photo Resizer
ปกติเวลาเราถ่ายภาพ สมัยนี้กล้องดิจิตอลก็ปาเข้าไปที่ความละเอียด 7.1 Mega Pixel เข้าไปแล้ว บางคนมีกล้อง 10 – 12 MP เวลาจะเอารูปลงใน Hi5 หรือ Windows Live Space ก็คงจะต้องย่อภาพเป็นจำนวนมากๆ หากต้องเปิดทีละภาพออกมาย่อก็คงใช้เวลานานกับภาพร่วมๆร้อยภาพ
FastStone Photo Resizer เป็นโปรแกรมในการแปลงภาพ เวลาที่เราถ่ายภาพเป็น RAW ก็สามารถย่อภาพลงใน Social Network ได้อย่างง่ายดาย และย่อภาพเพื่อลดขนาดของไฟล์ในการอัพโหลดบน Hi5 ได้อย่างสะดวก นอกจากนี้ยังแปลงไฟล์ เปลี่ยนชื่อ ครอป พลิกภาพ เปลี่ยนค่าสี และเพิ่มข้อความได้อีกด้วย หรือใครที่ชอบโพสภาพก็สามารถใส่ลายน้ำได้อีก หรือใครที่ต้องจัดการภาพแบบนี้เป็นประจำก็สามารถเซฟเป็น Profile ได้อีกด้วยเพื่อความคล่องตัวในการใช้งานในครั้งต่อไป

เล่นเกมไหลลื่นปรื๊ดๆด้วยโปรแกรมสุดเจ๋งGame Booster

เพื่อนๆเคยประสบปัญหาเกมกระตุก Frame Skip กันหรือไม่ ? เพื่อนๆเคยประสบปัญหาใช้คอมไปนานๆ พอเข้าเกมแล้วเกิดอาการเครื่องอืด ทรัพยากรเครื่องร่อยหรอหรือไม่ ? วันนี้ I3 ขอเสนอ.....โปรแกรม Game Booster (แหม ทำเป็นจอร์จ ซาร่าขายของไปได้ ) เข้าเรื่องกันดีกว่า เจ้าโปรแกรมที่ผมจะเสนอวันนี้นั่นก็คือ Game Booster เป็นโปรแกรมที่ใช้ง่าย เข้าใจง่าย ได้ผลดี ซึ่งผลของมันก็คือ การปิด Proceses ทรัพยากรต่างๆภายในเครื่องที่ไม่จำเป็นต่อการเล่นเกมทั้งหลาย เพื่อทำให้การเล่นเกมของเพื่อนๆนั้นลื่นไหลมากขึ้นนั่นเอง โอ้ ! อะไรมันจะดีขนาดนั้น มันจะได้ผลจริงหรอ ตอนแรกผมก็คิดเหมือนกัน แต่พอผมและหลายๆคนได้ทดลองแล้วปรากฎว่า แหม มันช่างใช้ได้ผลดีเหลือเกิน แถมวิธีใช้ก็แสนจะง่ายดาย ว่าแล้วก็ลองไปดูวิธีใช้กันเลยดีกว่า

http://www.i3.in.th/gallery/content/3/1379_01_resized.jpg

หน้าต่างโปรแกรม
1.เปิดโปรแกรมมา ก็จะเจอหน้าตาแบบนี้ทันทีเลย มันเป็นหน้าต่างการแสดงของสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการเล่นเกมของเพื่อนๆนั่นเอง ซึ่งถ้าเพื่อนๆอยากให้มันปิด ก็เพียงแค่กด Switch to Gaming Mode มันก็จะเด้งอีกหน้าต่างมา

http://www.i3.in.th/gallery/content/3/1379_02_resized.jpg

เลือกโปรแกรมที่จะปิด

2.หน้าต่างนี้จะให้เพื่อนเลือกโปรแกรมที่ไม่จำเป็นต่อการเล่นเกมที่เปิดอยู่ (เช่น MSN เป็นต้น) ให้ปิดตัวลงเพื่อที่จะประหยัดการใช้ CPU กับ Ram ของเครื่องนั่นเอง ถ้าไม่ปิดก็กด Skip ถ้าปิดก็เลือกโปรแกรมที่ต้องการแล้วกด Close Them

http://www.i3.in.th/gallery/content/3/1379_03_resized.jpg

ถ้ามีปุ่ม Back to Normal Mode ก็แปลว่าเสร็จแล้วจ้า

3. เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราก็สามารถเล่นเกมกันได้อย่างสบายใจ ไร้กระตุกแล้วจ้า เอ้อ สามารถใช้โปรแกรมนี้ได้กับทั้งเกม PC และเกมออนไลน์เลยนะ ขอบอกๆ

สำหรับผู้ที่สนใจจะเอาไปลองใช้โหลดได้ตามลิ้งค์นี้เลยครับ
http://download.online-station.net/view/129

Microsoft Security Essentials ซอฟท์แวร์แอนตี้ไวรัสฟรีๆ จากไมโครซอฟท์

วันนี้เรามีโปรแกรมดีๆ มาแนะนำกันอีกแล้วครับ ใครที่กำลังมองหาโปรแกรมแอนตี้ไวรัสดีๆ สักตัวหนึ่ง แต่ไม่อยากเสียเงินซื้อ ไม่อยากใช้โปรแกรมเถื่อนให้ผิดลิขสิทธิ์ ความฝันของคุณเป็นจริง แล้วเมื่อทาง Microsoft ได้เปิดตัวโปรแกรมแอนตี้ไวรัสตัวใหม่ที่พัฒนาเอง แถมเป็นโปรแกรมฟรี โดยใช้ชื่อว่า "Microsoft Security Essentials" ออกมาให้เราได้นำไปใช้งานกัน ไปดูรายละเอียดกันเลยดีกว่าครับว่าเจ้าโปรแกรม Microsoft Security Essentials ตัวนี้มีคุณสมบัติอย่างไรกันบ้าง ไปติดตามรายละเอียดกันได้เลยครับ
Microsoft Security Essentials ถึงแม้ว่าจะเป็นโปรแกรมน้องใหม่ในวงการแอนตี้ไวรัส แต่ว่าด้วยชื่อเสียงของ Microsoft เองก็สามารถการันตีได้ถึงคุณภาพและความสามารถของตัวโปรแกรมได้เป็นอย่างดี ขอท้าวเดิมทีโปรแกรมตัวนี้เคยถูกจัดอยู่ในชุดที่ต้องเสียเงินซื้อเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้ใช้งาน แต่แล้ว Microsoft ก็เปลี่ยนใจหันมาแจกฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับการพัฒนาตัว Microsoft Security Essentials เริ่มแรกทางไมโครซอฟท์ได้ทำการปล่อยให้ดาวน์โหลดชุด Beta ออกมาให้ทดลองใช้งานกันไปก่อนหน้านี้เป็นเวลากว่า 3 เดือนเพื่อทดลองใช้งาน และเรียนรู้กับไวรัสชนิดต่างๆ ในที่สุดทาง Microsoft ก็ตัดสินใจที่จะปล่อยตัวจริงออกมาให้ดาวน์โหลดไปใช้งานกันจริงๆ เมื่อไม่นานนี้เอง
คุณสมบัติของ Microsoft Security Essentials โปรแกรมตัวนี้สามารถใช้งานแทนโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ "ฟรี"
ด้านความสามารถในการปกป้องคอมพิวเตอร์ของโปรแกรม Microsoft Security Essentials ถือว่าอยู่ในขั้นดีทีเดียว กินทรัพยากรไม่มาก ไม่หน่วงเครื่อง และสามารถตัวจับไวรัส,สปายแวร์,โทรจันทร์ และโค้ดอันตรายอื่นๆ ได้ดี มีระบบอัพเดตข้อมูลไวรัสใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา สามารถตรวจจับไฟล์ต้องสงสัย และส่งไปวิเคราะห์แบบ real-time ได้ทันที
ในการใช้งานโปรแกรม Microsoft Security Essentials เราสามารถที่จะเลือกแสกนไวรัสได้ทั้งแบบ Quick คือการแสกนแบบรวดเร็ว หรือแบบ Full Scan ที่ครบเครื่องมากกว่าได้ตามที่เราต้องการ แต่ที่อยากจะแนะนำคือควรตั้งให้เป็นแบบ "Real Time Protection" ที่เป็นการตั้งให้โปรแกรมทำการป้องกันตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัยจากไวรัสต่างๆ แน่นอน และที่น่าจะถูกใจผู้ใช้มากที่สุดสำหรับโปรแกรมตัวนี้ก็คือ มันสามารถที่จะทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่มีข้อความเด้งขึ้นมากวนใจให้เสียอารมณ์เหมือนโปรแกรมบ้างตัว จะแจ้งเตือนเฉพาะเวลาที่มีปัญหาเท่านั้น ลองทดสอบดูแล้วก็สามารถทำงานได้รวดเร็วดี ไม่หน่วงเครื่อง ถือเป็นตัวเลือกใหม่ที่อยากให้หลายๆ คนลองดาวน์โหลดไปใช้งานกันครับ
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่น่าสนใจสำหรับคนที่ยังไม่มีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสไว้ปกป้องเครื่องของคุณ Microsoft Security Essentials ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวครับ มีติดเครื่องเอาไว้ หากไม่ถูกใจก็สามารถถอดออกได้ไม่เสียหายอะไร มีข้อจำกัดอยู่นิดเดียวนะครับ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะสามารถดาวน์โหลดโปรแกรม Microsoft Security Essentials มาใช้งานได้นั้นจะต้องเป็น Windows แท้เท่านั้น ของเถื่อนหมดสิทธิ์ครับ
download now

ไขข้อข้องใจอาการ Hard Disk หายบูตเครื่องไม่ติด!!


สวัสดีครับ กลับมาเจอกันอีกแล้วกับสารพัดปัญหาน่ารำคาญใจของเจ้าคอมพิวเตอร์จอมดื้อของเรา ในวันนี้ผมมีอีกหนึ่งปัญหาที่พบกันค่อนข้างบ่อยครั้ง จึงได้นำมาไขข้อสงสัยให้หายข้องใจกัน
สำหรับปัญหาที่ผมหยิบมาแก้ไขในวันนี้ก็คือปัญหาที่เกิดจาก Hard Disk ที่อยู่ดีๆ ก็ไม่ยอมทำงาน หรือตอนบูตเครื่องกลับเจอข้อความประหลาดๆ ประมาณว่าไม่พบ Hard Disk ปรากฎขึ้นแล้วก็ไม่ยอมบูตเข้าวินโดว์ แถมยังค้างนิ่งอยู่อย่างนั้นเฉยๆ จะปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่กี่รอบก็ยังไม่หาย ต้องทำยังไงกันดี ไม่ต้องกังวลครับ วันนี้ผมนำวีธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้นมาฝากแล้วครับ
วิธีแก้ปัญหา
ปัญหาดังกล่าวสมารถเกิดขึ้นได้หลายกรณีด้วยกันครับ และสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ดังนี้
1.ตรวจเช็คสาย SATA หรือสาย IDE ที่ใช้ต่อกับ Hard Disk ของเรา ว่าเกิดการ หลุดหลวม หรือเสียบไม่แน่นหรือเปล่า จึงเป็นเหตุให้ Bios มองไม่เห็น Hard Disk ในกรณีนี้แก้ไขไม่ยากครับ แค่ขยับสายให้เข้าที่เข้าทางและเสียบให้แน่นหนากว่าเดิมอีกสักหน่อย หรือเปลี่ยนสายใหม่ไปเลยก็ดีครับ เท่านี้ก็เรียบร้อย
2.อาจจะมาจากสายไฟเลี้ยงจาก Power Supply ที่ต่อเข้ากับตัว Hard Disk อาจมีปัญหา ลองสลับสายเส้นอื่นมาเสียบแทนสายเดิมดูครับ
3.เปลี่ยนสายก็แล้ว ขยับสายก็แล้วยังไม่หาย ในส่วนของ Hard Disk แบบ SATA ก็เข้าไปเช็คดูที่ Bios กันเลยดีกว่าครับว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเข้าไปตั้งค่าให้ Bios มองหาเมนู IDE HDD Auto Detection แล้วตั้งค่าให้เป็น Auto เพื่อสั่งงานให้ Bios มองหา Hard Disk เองแบบอัตโนมัติ ในส่วนของ Hard Disk แบบ IDE ควรตรวจเช็คตัว Jumper ที่เสียบอยู่ทางด้านหลัง ในกรณีที่มี Hard Disk แบบ IDE 2-3 ตัวในเครื่อง ก็ควรย้ายตำแหน่งของตัว Jumper ให้เป็น Master ใน Hard Disk ตัวหลัก แล้วย้ายตำแหน่ง Jumper ของ Hard Disk ตัวอื่นทั้งหมดให้เป็น Slave ครับ
- ถ้ากด Auto Detect แล้วก็จะเจอ Hard Disk ของเราแล้วครับคราวนี้
4.ทำการ Reset ที่ตัว Bios ดูครับเผื่อมีการตั้งค่าอะไรผิดพลาด โดยถอดถ่าน Bios ออกมาเลยแล้วค่อยใส่กลับเข้าไปใหม่ หรือถ้าเป็นเมนบอร์ดรุ่นไหนมีปุ่มที่ใช้เคลียร์ CMOS ก็กดได้เลยครับ ปุ่มนี้ใช้ Reset ตัว Bios ได้เช่นกันครับ สะดวกโดยไม่ต้องถอดถ่านครับ แต่ถ้าต้องการความชัวร์ก็ถอดถ่านไปเลยก็ดีครับ
5.ลองฟังเสียง Hard Disk ของเราดูครับ ว่ามีเสียงการทำงานอยู่หรือไม่ หรือลองเอามือจับดูว่ามีการหมุนจานเก็บข้อมูลรึเปล่า หากไม่ได้ยินเสียงใดๆและไม่มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ก็อาจจะเกิดปัญหาจากตัวของ Hard Disk เองครับ ลองส่งไปเคลมสินค้าจากร้านที่ซื้อมาโดยด่วนครับ
6.อาจใช้วิธีการนำ Hard Disk เจ้าปัญหาของเราไปลองต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นดูครับ ว่าอาการเป็นเหมือนกันหรือไม่ หากต่อดูแล้วปรากฏว่า Bios ของเครื่องอื่น Detect เจอ Hard Disk ตัวนี้ คงต้องสัญนิษฐานว่าเกิดจากตัว IDE Connector ของตัว Main Board อาจมีปัญหา ให้รีบส่งเคลมโดยด่วนครับ
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ Hard Disk ตัวเก่งของเราขอบอกว่ามีเยอะมากครับ ดังนั้นควรดูแลและใส่ใจ Hard Disk ของเราให้ดี เพราะหากเกิดชำรุดเสียหายไป หากโชคดีกู้คืนกลับมาได้บางส่วนก็ยังพอทำใจได้หน่อย แต่หากไม่สามารถกู้กลับมาได้ ข้อมูลต่างๆ ที่เก็บไว้ก็จะลาจากเราไปไม่มีวันหวนกลับเลยครับ เราจึงควรตรวจเช็คและดูแล Hard Disk อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุดคือ หมั่น Back Up ข้อมูลทั้งหมดของเราเอาไว้ เพื่อป้องกันมูลสำคัญๆ ที่อาจจะหายไปกับ Hard Disk ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดเกเรขึ้นมาเมื่อไหร่ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เราอุ่นใจมากขึ้นแล้วครับ

มาปรับเปลี่ยนรูป Logon ของ Windows 7 กันดีกว่า

Microsoft ทำการบ้านกับ Wondow 7 มาดี เพราะหลังจากที่เปิดตัวและเปิดขายกันอย่างเป็นทางการก็ได้รับความนิยมกันไปไม่น้อย ใช้แล้วมันรู้สึกว่าเร็วและเสถียรกว่า Windows Vista อยู่ไม่น้อย ไม่ทราบว่ามีใครใช้เจ้า Windows 7 กันอยู่บ้างครับ ผมคนหนึ่งล่ะที่ใช้มันอยู่ และทุกครั้งเปิดคอมพ์ขึ้นมา ก็จะพบกับรูปหน้า Logon ของ Windows 7 แบบเดิมๆ อยู่ทุกครั้งไป เห็นกันจนเบื่อไปเลย ก็เลยมีความคิดขึ้นมาในหัวว่าอยากจะเปลี่ยน และคิดว่ามันน่าที่จะเปลี่ยนได้ ก็เลยไปค้นหาวิธีเปลี่ยนมาจนได้ในที่สุด เลยนำมาเล่าสู่กับฟังสำหรับคนที่ใช้ Windows 7 อยู่แล้วเกิดอาการอยากเปลี่ยนแบบผม ลองทำการดูครับ ไม่ยากเลย และก็ไม่ต้องลงโปรแกรมเสริมอะไรให้ยุ่งยากอีกด้วย ไปลองทำกันเลยดีกว่า
1. คลิ๊กที่ปุ่ม Windows Start menu ในช่อง “Search and Programs and files” พิมพ์คำว่า Regedit ลงไปเครื่องจะค้นหาจนเจ้า Regedit ตามรูป เราก็จัดการคลิ๊กที่คำว่า Regedit นั้นเลย

http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_p1_resized.png

2. มีหน้าต่างใหม่ปรากฎขึ้นมาตามรูป ให้เลือกคลิ๊กขวาที่คำว่า HKEY_LOCAL_MACHINE แล้วเลื่อนเม้าสืมาเลือกที่ Find จะมีหน้าต่างใหม่ปรากฎขึ้นมา ให้ใส่คำว่า “ OEMBackground “ ที่ช่อง find what จากนั้นก็คลิ๊กที่ปุ่ม Fine Next ได้เลย

http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_p2_resized.png
http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_p3_resized.png

3. เครื่องจะทำการค้นหาคำว่า ““ OEMBackground “ ใน registy ให้เราซึ่งมันจะใช้เวลาซักครู่ ถ้าเครื่องค้นหาเจอก็ใช้ได้เลย แต่ถ้าหาไม่เจอ งานนี้เราต้องสร้างขึ้นมาเอง

4. หากต้องสร้างเอง ให้ไปคลิ๊กเลือกไปตามรากของ HKEY_LOCAL_MACHINE ตามนี้เลย HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Authentication\LogonUI\Background. ซึ่งมันคือรากของ HKEY_LOCAL_MACHINE นั่นเอง ก็จัดการคลิ๊กขวาบนพื้นที่ว่างๆ ด้านขวามือได้เลย มันจะปรากฎเมนูทีชื่อ “new “ ขึ้นมา จากนั้นก็เลื่อนเม้าส์ลงมาเลือกที่ “ DWORD (32BIT) Value ก็จะมี register ตัวใหม่เกิดขึ้นมา ดังรูป

http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_a1_resized.png
http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_a2_resized.png

5. ทำการเปลี่ยยนชื่อ register ตัวใหม่ ที่เกิดขึ้นเป็นชื่อ “ OEMBackground “

http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_a3_resized.png

6. คลิ๊กขวาที่ตรงที่ชื่อ “ OEMBackground “ ซึ่งเราพึ่งจะเปลี่ยนชื่อไปเมื่อกี้นี้นั่นล่ะครับ แล้วจัดการเลือกที่ Modify ก็จะมีหน้าต่างใหม่ปรากฎขึ้นมา ให้ทำการเปลี่ยนค่าในช่อง Value Data จากเดิมที่มีค่าเป็น 0 ให้เป็น 1 แล้วก็คลิ๊กที่ปุ่ม ok ปิดหน้าต่างนี้ลงไปได้เลยครับ เพราะกระบวนตรงนี้จบแล้ว

http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_a4_resized.png
http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_a5_resized.png

7. เปิด Windows Explorer หรือเปิด My computer ขึ้นมาก็ได้เช่นกัน ตรงช่อง address ข้างบนให้ใส่ข้อความนี้ลงไป %windir%\system32\oobe. แล้วกด enter ได้เลย

http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_p10_1_resized.png

8. คลิ๊กขวาเลือกสร้าง Folder ใหม่ขึ้นมาโดยตั้งให้ตั้งชื่อว่า “info”

http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_p11_1_resized.png

9. เข้าไปใน Folder ชื่อ info ที่เราสร้างไว้ แล้วทำการสร้าง Folder ใหม่ข้ามาอีกหนึ่งอัน โดยตั้งชื่อว่า backgrounds.

http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_p12_resized.png

10. นำรูป logon ใหม่ที่เราเตรียมไว้ซึ่งต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า 245KB มาเปลี่ยนชื่อเป็น backgroundDefault.jpg แล้วจัดการบันทึกมันเก็บไว้ใน Folder ชื่อ backgrounds. ที่เราสร้างเตรียมไว้แล้ว จากนั้นก็รีสตาร์ทเครื่อง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ

http://www.i3.in.th/gallery/content/4/1691_p13_resized.png

เสร็จแล้วครับ ชั้นตอนวิธีการทำก็มีอยู่เท่านี้เอง คราวนี้เราก็สามารถปรับเปลี่ยนรูปหน้า logon ของ windows 7 ได้อย่างที่เราต้องการแล้ว

ที่มา www.i3.in.th

DirectX 11 เจาะลึกเทคโนโลยีสร้างภาพ 3 มิติแห่งอนาคต


แรงบัลดาลใจของผมในการเริ่มต้นเขียนบทความนี้ก็สืบเนื่องมาจากเมื่อราวๆ สองอาทิตย์ก่อนเจ้าเพื่อนรักของผมคนนึงได้โทรศัพท์มาถามผมเกี่ยวกับการเลือก ซื้อการ์ดแสดงผลตัวใหม่ ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ได้เล่าให้ผมฟังว่าตอนที่ไปสอบถามราคาการ์ดที่ได้หมายปอง ไว้ที่ร้านค้าแห่งหนึ่งนั้นก็ได้รับข้อแนะนำในการเลือกซื้อจากทางร้านว่า “พี่ๆ ซื้อการ์ดรุ่นใหม่ตัวนี้ดีกว่า สนับสนุน Directx 11 ด้วยนะ การ์ดที่พี่จะซื้อที่เป็นของอีกค่ายนึงมันยังไม่สนับสนุน Directx ตัวใหม่ตัวนี้นะ เกมส์ใหม่ๆ ที่กำลังทยอยๆ ออกมา มันก็มีแนวโน้มที่จะหันไปใช้ Directx 11 กันหมด แล้วถ้าการ์ดจอของพี่ยังเป็นรุ่นเก่าๆ อยู่เครื่องพี่ก็จะเล่นเกมส์ได้ไม่สวยเท่าเครื่องที่มีการ์ดจอตัวใหม่ตัวนี้ นะ...” งานเข้าล่ะสิครับสำหรับเพื่อนผม ประโยคนึงเจอคำว่า Directx ไปซะหลายชุด หลังจากนั้นมันก็ได้ติดสินใจเดินออกจากร้านแล้วก็โทรมาหาผมเพื่อถามไถ่ เกี่ยวกับเจ้า Directx นี่ล่ะว่ามันคืออะไรกันนักหนา แล้วมันมีความสำคัญเกี่ยวกับการเล่นเกมส์อย่างไร จากคำถามที่ได้รับนั้นก็เลยได้แนวคิดที่ว่าน่าจะลองเขียนบทความอธิบาย Directx ดูให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาและสามารถนำไปต่อยอดได้ เพราะฉะนั้นลักษณะของบทความนี้ก็ใช้วิธีการบรรยายปนๆ เล่าเรื่องราวของเจ้า Directx นี้ให้มีรูปแบบที่อ่านง่ายสำหรับมือใหม่ แต่ก็จะมีการใช้ศัพท์แสงทางเทคนิคสอดแทรกไปบ้างเพื่อเอาใจมือเก๋าให้สามารถ ไปค้นคว้าเสริมต่อความรู้กัน บทความนี้จะมีการแบ่งทั้งหมด 3 ส่วนย่อยด้วยกันนะครับ ส่วนแรกก็จะเป็นการอธิบายว่า Directx คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ส่วนที่สองก็จะเป็นประวัติของ Directx อย่างคร่าวๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแต่ละ version และส่วนสุดท้ายนั้นก็จะขอเน้นไปที่ความสามารถของ Directx 11 ที่กำลังเป็นที่สนใจในวงการ hardware อยู่ในขณะนี้ เอาล่ะครับเริ่มกันเลยดีกว่า
Directx มันคืออะไรกันรึ? ความหมายของ Directx นั้นถ้าจะให้อธิบายแบบวิชาการสั้นๆ ก็คือชุด APIs (Application Programming Interfaces) ของบริษัท Microsoft ที่อนุญาตให้ Software (เช่น เกมคอมพิวเตอร์) สามารถพูดคุยกับ Hardware (เช่น การ์ดแสดงผล) กันได้รู้เรื่อง ถ้าจะให้อธิบายแบบบ้านๆ ก็ลองจินตนาการถึงแซนด์วิชดู ใช่แล้วครับเจ้าขนมปังสองแผ่นประกบกันนั่นแล โดยที่ขนมปังชิ้นนึงเป็น Software ส่วนอีกชิ้นนึงเป็น Hardware เจ้าพวกไส้ในที่อยู่ตรงกลางนั้นนั่นแหละครับคือ API หรือไม่ก็พวก Driver ต่างๆ โดยที่เจ้าไส้ในพวกนั้นจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่าง Hardware กับ Software ฉะนั้นแล้วแทนที่ Programmer จะทำการเขียนโปรแกรมของตัวเองให้สนับสนุน Hardware ตัวใดหนึ่งในท้องตลาดหรือทุกตัว! ซึ่งใช้เวลานานและสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก ก็มาเขียนให้ Software ของตัวเองสนับสนุนกับระบบปฎิบัติการ ( Operating System) ซึ่งประกอบไปด้วย Driver และ API ต่างๆ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งคำสั่งที่ร้องขอโดย software ไปที่ hardware ให้ตรงกับที่ software ต้องการโดยที่ Programmer นั้นไม่จำเป็นต้องรู้ว่าผู้ใช้งานมี hardware ใดๆ บ้าง ซึ่งวิธีการนี้นั้นทั้งสะดวก และประหยัดเวลากว่ากันมากสำหรับทั้ง programmer และ ผู้ใช้งานทั่วไป (นักเล่นเกมลายครามอายุ 20 ปีขึ้นไปที่เกิดทันยุค MS-DOS น่าจะยังพอจำกันได้นะครับกับวันวานที่พวกเราต้องต้องมาเสียเวลาร่วมครึ่งวัน ในการตั้งค่า hardware ต่างๆ บนหน้าจอเมนูสีฟ้าๆ ก่อนที่จะเข้าไปไล่เตะก้นสัตว์ประหลาดใน Duke Nukem นั่นแหละครับเวลาที่เรายังไม่มีตัวกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่าง hardware และ software ผลก็คือผู้ใช้งานตาดำๆ ต้องมานั่งตั้งค่าให้เกมและเครื่องของเราให้เข้าใจตรงกันเอาเอง) ซึ่งภายในตัว Directx เองนั้นก็จะประกอบไปด้วย API ย่อยๆ มากมายเช่น Direct3D, DirectDraw, DirectSound เป็นต้น
ผมแนะนำให้เพื่อนๆ ทำการลง Directx ตัวล่าสุดเท่าที่จะทำได้นะครับเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด ซึ่งในปัจจุบันนี้นั้นทางบริษัท Microsoft นั้นก็ได้ทำการพัฒนาไปจนถึงเวอร์ชั่น 11 แล้ว โดยที่ระบบปฏิบัติการที่ Directx ตัวนี้สนับสนุนก็ได้แก่ Windows Vista และ server 2008 ซึ่งเพื่อนสามารถลง Directx ตัวล่าสุดนี้ได้ผ่านทาง Windows Update ได้เลยหรือจะ download มาลงเองโดยตรงก็ได้ และสำหรับผู้ที่ใช้ Windows 7 นั้นก็ไม่ต้องหาจากที่ไหนแล้วล่ะครับเพราะ Directx 11 นั้นได้มาพร้อมกับตัว Windows 7 เองเลย สำหรับผู้ที่อยากทราบว่าเครื่องของตัวเองนั้นมี Directx เวอร์ชั่นอะไรอยู่ก็สามารถดูได้โดยไปที่ Start --> Run แล้วพิมพ์คำว่า Dxdiag (สำหรับ Vista และ 7 นั้นให้ไปที่ Start --> All programs --> accessories --> run) แล้วตรงด้านล่างบนหน้าจอ DirectX Diagnostic Tool นั้นเพื่อนๆ ก็จะเห็นว่าเครื่องของตัวเองใช้ Directx เวอร์ชั่นอะไรอยู่ และด้านล่างนั้นเป็นตารางแสดง Directx เวอร์ชั่นต่างๆ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันโดยพร้อมกับระบุว่าเวอร์ชั่นไหนมาพร้อมกับ Windows อะไร

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Microsoft office 2010 [Beta] เพื่อชีวิตการทำงานที่ครบวงจรยิ่งขึ้น


หลังจากที่ Windows 7 ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว ทาง Microsoft ไม่รอช้าเตรียมเข็น Microsoft Office 2010 ออกวางจำหน่ายต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาเยือน ซึ่งกระแส Beta test ของ office นี้แรงมาก โดยทาง Microsoft ออกมากล่าวว่ามีการ Download มากกว่า 1 ล้านครั้งภายใน 2 สัปดาห์ (แรงกว่าบี้เดอะสตาร์ออกอัลบั้มใหม่ซะอีกนะ) แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ Microsoft office กันคร่าวๆ ก่อนนะครับ

Microsoft Office Professional Plus 2010
* Microsoft Excel 2010
* Microsoft Outlook 2010 with Business Contact Manager
* Microsoft PowerPoint 2010
* Microsoft Word 2010
* Microsoft Access 2010
* Microsoft InfoPath 2010
* Microsoft Communicator
* Microsoft Publisher 2010
* Microsoft OneNote2010 New addition to suite
* Microsoft SharePoint Workspace 2010 New addition to suite
* Microsoft Office Web applications
* Integrated solution capabilities such as enterprise content management (ECM) , electronic forms , and information rights and policy capabilities


Microsoft Office Professional 2010
* Microsoft Excel 2010
* Microsoft Outlook 2010
* Microsoft PowerPoint 2010
* Microsoft Word 2010
* Microsoft Access 2010
* Microsoft Publisher 2010
* Microsoft OneNote 2010 New addition to suite


Microsoft Office Home and Business 2010
* Microsoft Excel 2010
* Microsoft Outlook 2010
* Microsoft PowerPoint 2010
* Microsoft Word 2010
* Microsoft OneNote 2010


Microsoft Office Standard 2010 (only available via volume licensing)
* Microsoft Excel 2010
* Microsoft Outlook 2010
* Microsoft PowerPoint 2010
* Microsoft Word 2010
* Microsoft OneNote 2010 New addition to suite
* Microsoft Publisher 2010 New addition to suite
* Microsoft Office Web applications


Microsoft Office Home and Student 2010 (licensed for noncommercial use)
* Microsoft Excel 2010
* Microsoft PowerPoint 2010
* Microsoft Word 2010
* Microsoft OneNote 2010

ผมเชื่อว่าทุกท่านๆ น่าจะรู้จักโปรแกรมเหล่านี้ดีและแน่นอนว่าใน Version นี้ต้องมีความสามารถที่ดีกว่า Microsoft Office จากรุ่นที่แล้วๆ มาแน่นอน เรามาดูกันครับว่ามีอะไรใหม่เพิ่มมาบ้าง

สำรวจใต้ท้องทะเลด้วย Google Earth 5.0

แน่นอนว่าความสวยงามของทะลเป็นสิ่งที่ทุกคนฝันหา เป็นไปได้ไหมหากคุณอยู่บ้านเหงาๆก็ดำดิ่งลงไปในมหาสมุทรได้เหมือนกับประตูวิเศษของโดราเอมอน และหากคุณกลัวว่าจะหลงในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ก็มีผู้เชี่ยวชาญจาก National Geographic และ BBC เป็นไกด์ให้ การดำลงดูใต้น้ำช่วยให้คุณวิเคราะห์อะไรได้บ้าง อย่างแรกก็น่าจะเป็นอุณหภูมิ ความเปลี่ยนแปลงของโลก สภาพอากาศที่เปลี่ยนไป และชมความสวยงามของสัตว์ใต้น้ำนานาพันธุ์

อันดับแรก ไม่ต้องมองหาชุดประดาน้ำ แค่เข้าไปที่ http://earth.google.com แล้วเข้าไปดาวน์โหลด พอเข้าไปแล้วก็จะมีให้เลือก (ไม่ได้บังคับ แค่อยากให้ลอง) ดาวน์โหลด Google Chrome มาด้วยเลย

ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจะชื่อ Google Updater.exe มาเพื่อที่เป็นตัว Download Management แถมแอบสำรวจข้อมูลการใช้งานของเราด้วย

ลองมาดูกันว่า มีอะไรใหม่ใน Google Earth 5.0 (beta)

ทุกคนรู้ว่าโลกร้อนขึ้น ดังนั้น Google Earth จึงเป็นเครื่องมืออันดีสำหรับการพยากรณ์โลก ว่ามีสภาพอากาศ พื้นผิวโลก อะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไป เหมือนกับเอากล้องส่องบนโลกเลย จะว่าไป เรียกว่ากล้องวงจรปิดของโลกก็น่าจะไม่ผิด เพราะสามารถสอดส่องดูสถานที่ต่างๆบนโลกได้สบายๆ เอามาเทียบกันได้เลย ว่าในแผนที่ Google Earth เป็นอะไร แล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร อะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ดำน้ำ สำรวจทะเลกันเร็ว

ใครที่บอกว่าไม่ว่าง ไม่มีเวลา จะไปดำน้ำ ลองเล่น Google Earth ดูดีกว่า นอกจากแสดงแผนที่บนโลกแล้ว ยังแสดงพื้นน้ำ ให้คุณดำดิ่งลงไปได้อีกด้วย แน่นอนว่าให้คุณลงไปในน้ำคนเดียวคงจะหลงแน่ๆ เขามีผู้เชี่ยวชาญจาก BBC และ National Geographic หรือการสำรวจเรือชื่อก้องโลกอย่างเรือไททานิคมาช่วย

เมื่อเข้ามาใน Google Earth สิ่งที่เห็นได้จากด้านซ้ายมือคือส่วนของ Ocean สามารถดำลงไปในมหาสมุทรได้ ข้อดีคือใช้ในการสำรวจและตรวจสอบอุณหภูมิของน้ำเพื่อศึกษาเรื่องความเป็นอยู่ของสัตว์น้ำ หรือตรวจสอบทะเลที่เราจะไปเที่ยว ว่ามีสภาพอากาศเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นข้อมูลในการศึกษาได้เป็นอย่างดีทีเดียว

แถมยังปฏิวัติการเดินทางท่องเที่ยวแบบเดิมๆ ที่ถ่ายรูปกลับมาอวด เป็นการบันทึกเส้นทางการเดินทางได้จาก Google Earth แค่กดบันทึก เที่ยวชมรอบโลก คุณก็สามารถบรรยายเหมือนกับเป็นพิธีกรรายการนำเที่ยวยอดนิยมได้เลย
 
Copyright 2009 Computer Today. Powered by Blogger Blogger Templates create by Deluxe Templates. WP by Masterplan