วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เริ่มต้นจุดประกาย นับหนึ่งเริ่มต้นใช้ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์แท้


ในช่วงแรกๆนั้นจำได้ว่า เคยซื้อซอฟต์แวร์เถื่อนจากห้างดังในราคาร่วมๆ 4 ร้อยบาท ตอนนั้นยังเป็นแผ่นปั๊ม และแผ่นไรท์ที่มีความแข็งอยู่ (แผ่นซีดีเหตุซปัจจัยมาจากเครื่องไรท์แผ่นยังมีราคาที่สูงมาก ไม่ใช่ร้อยกว่าบาทเหมือนทุกวันนี้ ทำให้การซื้อซอฟต์แวร์เถื่อน ก็ค่อนข้างจะได้รับความนิยม โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยเรียน การที่จะได้คอมพิวเตอร์ใช้สักเครื่องก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว เพราะราคาร่วมๆสามถึงสี่หมื่น หากบวกราคาซอฟต์แวร์ช่วงนั้นคือ Windows Me, Windows XP เข้าไป ยังไม่รวมโปรแกรมชุดออฟฟิศที่รู้ๆกันว่าราคาร่วมหมื่น ชุดโปรแกรมตกแต่งภาพชื่อดังที่มีราคาหลายหมื่น นี่ยังไม่รวมซอฟต์แวร์อื่นๆอีก เช่น ACDSee, Winzip, Winamp ชุดเต็มลิขสิทธิ์แท้อีก อีกสาเหตุใหญ่ๆคือ ไม่รู้จะไปซื้อของแท้ที่ไหน แล้วก็เวลาซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ จะมีการติดตั้งซอฟต์แวร์เถื่อนมาให้อยู่แล้ว ยกเว้นชุด PC ประกอบที่เป็นแบรนด์อย่าง Acer, HP, Powell, Belta, Liberta ที่มีชุด Windows แท้มาให้ด้วยพร้อมตัวเครื่องเลย หลายๆคนเข้าใจว่าเมื่อซื้อเครื่องจะได้ซอฟต์แวร์เถื่อนมาให้อยู่แล้ว
ชุดซอฟต์แวร์ที่ทุกคนใช้ของเถื่อนก็น่าจะเป็น Antivirus โดยเฉพาะช่วงแรกๆนั้นจะเป็น Mcafee และ Norton Antivirus ซึ่งตอนนั้นถามว่าราคาแพงไหม พันกว่าบาท สองพันกว่าบาท ก็ถือว่าแพง ต่อมาที่น่าสนใจก็คือช่วงที่ Nod 32 ออกมาด้วยราคาไม่ถึงพัน ทำให้หลายๆคนมองว่าราคา Antivirus แท้ถูก แต่ก็ยังใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนอยู่ดี เพราะการจ่ายเงินแล้วอัพเดตข้อมูลไวรัสแค่ปีเดียว
การที่คิดว่า ใครๆก็ใช้กัน ทุกคนจึงใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนกันจะเป็นเรื่องปกติ ยิ่งบริษัทด้วยแล้วยิ่งใช้ของเถื่อนเพราะจะซื้อของแท้ให้พนักงานทั้งออฟฟิศก็คงเป็นไปไม่ได้ นี่ยังไม่รวมซอฟต์แวร์ตกแต่งภาพ ออกแบบสามมิติ และออกแบบด้าน Interior Design ออกแบบตกแต่งภายในอีก ซึ่งมูลค่าซอฟต์แวร์แท้บางตัวเป็นแสนเลยทีเดียว ที่นี้ทุกคนเห็นพ้องกันว่า ใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ช่วงเรียน ก็ใช้ของเถื่อน เพราะใช้งานเพื่อการศึกษา ทำรายงาน ไม่ได้แสวงหาผลกำไรหรือเอามาค้าขายในเชิงธุรกิจ แต่เมื่อกิจการร้านอินเตอร์เน็ตเฟื่องฟู ทำให้หลายๆคนเริ่มตระหนักถึงซอฟต์แวร์แท้ เพราะมีการตรวจจับ เมื่อช่วง 5 – 6 ปีที่แล้ว เห็นบางร้านนำซอฟต์แวร์ Open Source มาให้บริการ เช่น AVG Free Antivirus, Avast มาให้บริการ รวมไปถึงซอฟต์แวร์ Open Office มาให้ใช้งาน แต่ก็ยังไม่มีการสอนใช้งานเป็นเรื่องเป็นราว และการให้บริการเกมส์จึงเป็นซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์แท้ที่ให้บริการสาธารณะ

จากที่เคยคลุกคลีในวงการไอทีมานานนับสิบปี ได้ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนเยอะมาก ตั้งแต่สมัยซีดีแผ่นละ 400 บาท ตั้งแต่สมัยเรียน จนมาถึงช่วงทำงานที่หาเงินได้เอง ซอฟต์แวร์แท้ที่ซื้อก็คือ พจนานุกรม ที่มีราคาไม่แพงนัก อยู่ในระดับที่รับได้คือ 399 - 799 บาท สำหรับผมอยู่ในวงการมือถือ เปลี่ยนมือถือบ่อยๆ อยู่ในช่วงราคา 3xxx - 9xxx จนไปถึง 15xxx ก็เลยกลับมาคิดว่า เอ ทำไมเงินในระดับ 3 - 9 พันเราซื้อมือถือได้ แต่ทำไมซอฟต์แวร์แท้เราซื้อไม่ได้ พอได้อ่านหนังสือ Software Magazine ของ Software Direct ก็ได้ไอเดียและแรงบันดาลใจ
ก็เลยอยากจะแนะนำให้เกิดแรงบันดาลใจ เพราะหลายคนอาจจะพอมีกำลังซื้อ โดยส่วนตัวผมคิดว่า ค่าซอฟต์แวร์แท้ลิขสิทธิ์ถูกต้อง ราคาประมาณ 1xxx ก็พอจะซื้อได้ พวก Antivirus เดี๋ยวนี้ก็ไม่แพง ถูกมาก เช่น Nod32, Kaspersky, Bitdefender, Norton ก็ไม่แพงแล้ว อยู่ในระดับ 399 / 699 / 799 แล้วแต่ จำนวน license แนะนำให้ซื้อ 3 license ไปเลย เผื่อใช้เครื่องน้อง เครื่องที่บ้าน แล้วก็โน้ตบุ๊ค และคุณสมบัติในการใช้งานก็น่าจะดีกว่าของเถื่อนด้วย ก็เลยคิดว่า โปรแกรมที่ขายในช่วง 3 - 6 พันก็พอจะซื้อได้อยู่ ถ้าเป็นหมื่นคงไม่ไหว
ที่อยากจะแนะนำตอนนี้ แรกๆอาจจะเริ่มต้นที่ระบบปฏิบัติการเสียก่อน แล้วก็พ่วงด้วย Microsoft Office
คุณคิดว่า Windows สมัยนี้ราคาเท่าไหร 8 พัน หมื่นกว่า น่าดีใจที่ตัว OEM ของ Windows Vista Home ราคาแค่สี่พันกว่าๆ หากเป็นนักเรียนก็อยากให้เริ่มต้นง่ายๆกับ Microsoft Office Home and Student 2007 ราคาถูกมากแค่ 3250 บาทเท่านั้นเอง (ตรวจสอบราคาอีกครั้งจากร้าน) เมื่อเทียบกับสมัยก่อนเป็นหมื่นก็ซื้อไม่ไหวเหมือนกัน ซอฟต์แวร์ที่ได้ก็คือ Word, Excel, PowerPoint และ OneNote ที่สำคัญที่ซื้อ 1 กล่อง ติดตั้งได้ 3 เครื่อง แบบนี้ซื้อไป ใช้ที่บ้าน ลงในเครื่องพ่อ เครื่องพี่ เครื่องตัวเอง ยิ่งบ้านมีพ่อแม่ ใช้เครื่องนึง พี่ น้อง มี 2 – 3 คนก็ใช้กันสบาย แบบนี้คิดว่าแชร์ๆกันก็คงสะดวกไม่น้อย เอาง่ายๆว่า 3250 หาร 3 เท่ากับ 1083 บาทต่อคนเท่านั้นเอง ลองหารด้วย 4 โปรแกรมก็เหลือแค่โปรแกรมละ 270 บาทโดยเฉลี่ยเท่านั้นเอง นับว่าถูกมากๆและน่าสนใจดีครับ
เริ่มจากตัวเราก่อน
อยากให้เริ่มต้นที่ตัวเราก่อน หากใครมองว่าซื้อ iPhone ในราคาสองหมื่นได้ มือถือราคาหมื่นครึ่ง หากคุณมีกำลังพอจะที่ซื้อ Windows แท้ บวกกับ Office แท้ ในราคาแค่ 8 พันกว่าๆ เท่านั้น เมื่อเทียบกับมือถือที่เราเปลี่ยนบ่อยๆ ในราคาหมื่นห้า ส่วน Antivirus ราคาก็แค่ 399 - 799 เท่านั้นเอง ก็ไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง ถือซะว่า เราเป็นผู้เริ่มต้นใช้ของแท้ในบ้านเราเอง
หรือใครที่ไม่ค่อยมีงบ แต่อยากใช้ซอฟต์แวร์แท้ ผมก็ไปเจอว่า Notebook ของ Dell มีแถม Microsoft Works มาด้วย มันคือซอฟต์แวร์อะไร ไม่คุ้นหู เลยไปค้นในเว็บไซต์ของ Microsoft สำหรับทั้งผู้ใช้ในบ้านและผู้ใช้ในธุรกิจ Microsoft Works เป็นทางเลือกที่มีต้นทุนต่ำกว่าชุดโปรแกรม Microsoft Office ที่มีคุณลักษณะครบครัน Microsoft Works เป็นแพ็คเกจเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่มีการทำงานร่วมกันอย่างเหมาะสม ได้รับการออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ในบ้าน และครอบครัวที่มีผู้เริ่มต้นใช้คอมพิวเตอร์ แต่เวลาใช้งาน เซฟงาน อาจจะต้องมีการแปลงชนิดไฟล์นิดหน่อย ซึ่งราคาของ Microsoft Works อยู่ที่ประมาณพันต้นๆเท่านั้นเอง หันกลับไปคิดอีกครั้ง บางคนแต่งรถ ซื้อมือถือ iPod เครื่องเล่นเกมส์ราคา 8 พัน – 1 หมื่นขึ้นยังซื้อได้ แต่กับซอฟต์แวร์แท้ราคาแค่พันกว่าบาทจนไปถึง 6 พันซื้อไม่ได้ ไม่ใช่จะกระแดใช้ของแท้นะครับ เพราะทุกคนมองว่าการใช้ของเถื่อนเป็นเรื่องปกติไปแล้วต่างหาก แน่นอนว่าโปรแกรมเมอร์ไม่ได้ดังเหมือนนักร้อง ที่ชอบและชื่นชมคนไหนก็ซื้อแผ่นแท้ แต่มันคือจริยธรรมในการใช้งานที่น่าจะเริ่มต้นกันได้ในยามที่เราพอจะหารายได้เลี้ยงตัวเองได้ มองอีกมุมนึงก็คือ เราหาเงินด้วยซอฟต์แวร์เถื่อนเหล่านี้ เอาเปรียบโปรแกรมเมอร์เพื่อเลี้ยงปากท้องตัวเอง ในขณะเดียวกันโปรแกรมเมอร์น้ำตาตกในเพราะมีแต่คนใช้ของเถื่อน
ลองนึกภาพดูว่าคุณซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า ได้ในราคาพันกว่าบาทอยู่แล้ว ค่าโทรก็จ่ายร่วมพัน ดังนั้นพันต้นๆซื้อ Microsoft Works ก็น่าสนใจอยู่ หรือจะเก็บเงินเพิ่มไว้ซื้อ Office Home and Student ก็ไม่น่าจะเกินความสามารถไป

หลายๆ คนไม่รู้ว่าจะซื้อซอฟต์แวร์แท้ได้ที่ไหน ในไทยจะมีบริษัทที่ขายคือ I.T.Solution มีร้านขายคือ Primer Soft ที่ไอทีมอลล์ ชั้น 3 ครับ แล้วก็มีของ software.co.th ที่ขายบนเว็บไซต์
แนะนำระบบปฏิบัติการ

ถ้าเอาแค่ Windows XP Professional Service Pack 3 ราคาประมาณ 56xx เท่านั้นเอง
Windows Vista Home Basic SP1 ราคาแค่ 36xx เท่านั้นเอง ถือว่าไม่แพงเลย หากซื้อ Windows + Office ตัวที่บอกไปข้างต้น แบบนี้ก็ใช้งบประมาณรวมๆแค่ 7 พันเท่านั้นเอง นับว่าไม่แพงเพราะเครื่องใหม่เดี๋ยวนี้ก็หมื่นกว่าๆ หากมีงบ 2 หมื่นกว่า ซื้อเครื่องแค่หมื่นห้า ที่เหลือก็ใช้เป็นค่าซอฟต์แวร์แท้ หรือหากอยากติดตั้งได้หลายเครื่องก็ซื้อแบบ OEM ไปดีกว่า

ถามว่าแพงไหม ต้องดูที่การใช้งาน ในฐานะของคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน แล้วมีรายได้จากการใช้งานคอมพิวเตอร์แล้ว ถือว่าไม่แพงเลย เพราะราคาไม่ใช่หมื่นกว่าสองหมื่นแบบเมื่อก่อนแล้ว

ส่วนโปรแกรมอื่นถ้าจะให้แนะนำ ACD See ก็ใช้ Open Source อย่าง Picasa หรือ Photoscape แทนได้ หรือไรท์แผ่นก็มี Nero ที่แถมมากับไดร์ฟเขียน หรือใช้ซอฟต์แวร์ฟรีก็มีให้โหลดได้ฟรีๆ Antivirus ฟรีก็มีให้ดาวน์โหลดเช่นกัน

สำหรับผมในฐานะนักแปลและนักเขียน โปรแกรมพจนานุกรมราคา 599 ก็ซื้อได้ เพราะอะไร ก็เพราะขนาดว่า Electronic Dictionary ราคา 3 - 8 พันถึงหมื่นกว่าก็ซื้อกันได้ แต่ทำไมซอฟต์แวร์พจนานุกรมแท้ราคาไม่กี่ร้อยซื้อกันไม่ได้ เหตุผลเพียงเพราะว่าของเถื่อนร้อยเดียวเท่านั้นหรือ อะไรที่เป็นความรู้ ถือว่าเป็นครูของเราก็น่าจะเคารพและให้เกียรติ (ในฐานะที่เรามีรายได้พอจะซื้อของแท้ได้นะครับ)

โดยส่วนตัวมองว่า ทุกคนล้วนแต่ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนเพื่อการศึกษา ทดลอง และฝึกฝนการใช้งานกันทั้งนั้น แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งหากว่าเรามีรายได้จากซอฟต์แวร์ที่เราทำงาน เรียกว่าใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ ก็พอที่จะเก็บเงินเพื่อซื้อของแท้ใช้งานบ้าง

ผมอยากให้ทุกคนมีจุดเริ่มต้นเป็นแรงบันดาลใจเพื่อค่านิยมในการใช้ซอฟต์แวร์แท้ครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 
Copyright 2009 Computer Today. Powered by Blogger Blogger Templates create by Deluxe Templates. WP by Masterplan